น้อมบูชา ขอขมาต่อ
คุณพระพุทโธ พระธัมโม พระสังโฆ ๑
คุณท่านพ่อครูศรีปราชญ์ ท่านพ่อครูสุนทรภู่ ๑
คุณนักปราชญ์ราชบัณฑิตในทิศทั้งแปด ๑
คุณพระอุปัชฌาย์ พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ๑
คุณแห่งค่าข้าวน้ำปัจจัยสี่ของโยมญาติมิตร ๑
คุณแห่งพรหมวิหารธรรม บารมีธรรมของกัลยาณมิตร
นักบวช นักบุญ ผู้มีศีล มีธรรมทั่วโลกทั่วจักรวาล ๑
คุณเทวดาฟ้าดิน คุณแผ่นดิน แผ่นน้ำ คุณธาตุทั้งสี่ทุกภพทุกภูมิ ๑
เหตุ-ปัจจัย
–๏–
๏ พุทธประวัตินี้ มีมา
ในพระบาลีคาถา กล่าวไว้
หากได้อ่านศึกษา ค้นทั่ว แล้วนา
ย่อมเกิดปัญญาไซร้ แจ่มแจ้งถึงใจ ๚ะ
๏ ในตำราแต่งไว้ เรียบเรียง
เหล่านักปราชญ์เทียบเคียง แต่งแต้ม
คือแสงแห่งตะเกียง ช่วยส่อง สว่างนา
ชี้ช่องทางเปิดแย้ม กล่าวไว้อย่างดี ๚ะ
๏ บทกวีที่แต่งขึ้น พรรณา
หากมากด้วยปัญญา แต่งไซร้
อาจส่งสื่อภาษา ชี้บอก ชัดนา
แต่ที่แต่งแต้มไว้ แค่นี้มันสมอง ๚ะ
๏ นึกอยากลองบอกชี้ เส้นทาง
อาจช่วยเกิดแสงสว่าง พบได้
เปิดแผนที่ออกกาง ชี้บอก ทางนา
ค่อยค่อยเดินพบป้าย สู่เป้าที่หมาย ๚ะ
๏ ลายแทงบอกชัดแล้ว ขุมทอง
ขาดแต่สายตามอง ขุดค้น
ทุกสิ่งหากใตร่ตรอง อาจพบ ค่านา
กวีแค่จุดเริ่มต้น ช่วยชี้ทางไป ๚ะ
๏ นั่งอยู่ใต้ร่มไม้ โพธิ์แก้ว
เพียรแต่งบทกวีแล้ว ค่ำเช้า
ผิดถูกฝากเป็นแนว ช่วยแต่ง เติมนา
ชี้บอกจดใส่เกล้า เพิ่มเนื้อปรับขยาย ๚ะ
๏ เป้าหมายเพื่อบอกชี้ ศรัทธา
เล่าเรื่ององค์ศาสดา เอกไว้
เทียบเคียงจากตำรา ท่านกล่าว ไว้นา
เปลี่ยนรสเป็นกวีไซร้ มอบให้ของขวัญ ๚ะ
๏ หากท่านอ่านทั่วแล้ว เบิกบาน
จิตเกิดกุศลญาณ ผ่องแผ้ว
จงแจกจ่ายเป็นทาน บอกต่อ กันนา
หากเกิดพลังบุญแล้ว แบ่งให้ทุกคน ๚ะ๛
พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา
นิพพานะปัจจะโย โหตุ
พุทโธ อโหสิ ธัมโม อโหสิ สังโฆ อโหสิ
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิฯ
๑.
ว่าด้วย : มโนปณิธาน และการจุติ
–๏–
๏ สุเมธดาบส[๑] ตั้ง ปณิธาน
ชาติแรกโพธิญาณ เริ่มไว้
ท่องเที่ยวก่อบุญทาน เพื่อตรัส รู้นา
พระเวสสันดรไซร้ ชาติท้ายบำเพ็ญ ๚ะ
๏ จากมนุษย์เป็นเทพไท้ เทวา
ด้วยเดชแห่งบุญญา ก่อไว้
หลายแสนชาติสร้างมา ผลส่ง เสวยนา
พร้อมพรั่งบริวารไซร้ หมื่นล้านล้านองค์ ๚ะ
๏ ทรงเสวยสุขเลิศล้ำ แดนสวรรค์
ดุสิตพิมานชั้น ทิพย์แก้ว
มหาพรหมชักชวนกัน ทั้งหก ชั้นนา
ก้มกราบเชิญจุติแล้ว ภาคพื้นมนุษย์เมือง ๚ะ
๏ เพื่อปลดเปลื้องทุกข์ให้ ชาวโลก
เพื่อดับกิเลสโรค หลุดพ้น
เพื่อสอนสั่งดับโศก ให้หมด สิ้นนา
จิตศรัทธาแต่ต้น ก่อสร้างบำเพ็ญ ๚ะ
๏ ทรงตรวจเห็นชัดแล้ว วิโลกนะ[๒]
ครบทั่วทั้งห้าจะ เกิดได้
กาลทวีปปะเทสะ กุละ พร้อมนา
มาตุประการท้าย รับไหว้อาราธนา ๚ะ
๏ เสด็จชมป่าหมู่ไม้ นันทวัน
แดนทิพย์สวนโลกสวรรค์ จัดไว้
เสด็จจุติโดยพลัน ลงสู่ ครรภ์นา
หมู่เทพโมทนาไซร้ แซ่ซ้องสาธุการ ๚ะ๛
๒๕ กรกฏาคม ๕๖
๒.
ว่าด้วย : ปฏิสนธิ และประสูติ
–๏–
๏ ปฏิสนธิอยู่ท้อง มายา[๓]
พระสุทโธทนะบิดา โลกเจ้า
สิบเดือนครบเวลา ประสูติ ออกนา
เดือนหกเพ็ญเสด็จก้าว สู่พื้นย่างเดิน ๚ะ
๏ อัศจรรย์เกินกล่าวอ้าง พรรณนา
ทั่วหมื่นโลกโลกา เทพไท้
กระเทือนทั่วพสุธา แตกตื่น กันนา
บุญแห่งโลกมากไซร้ ร่ำไห้อัญชลี ๚ะ
๏ ลุมพินี[๔] เขตชี้ บุญสถาน
ทั่วโลกต่างกล่าวขาน กราบไหว้
แดนเกิดเพื่อปราบมาร แห่งพระ องค์นา
ใครใคร่ได้บุญไซร้ เร่งไว้นมัสการ ๚ะ๛
๒๖ กรกฏาคม ๕๖
๓.
ว่าด้วย : อาสภิวาจา[๕]
–๏–
๏ หนึ่งเดียวในโลกหล้า ยิ่งมนุษย์
เราประเสริฐเจริญสุด ผ่องแผ้ว
ตายเกิดเกิดตายหยุด สิ้นสุด กันนา
ชาติใหม่ไม่มีแล้ว สุดท้ายภพภูมิ ๚ะ๛
๒๖ กรกฏาคม ๕๖
๔.
ว่าด้วย : ถวายพระนาม[๖]
พราหมณ์พยากรณ์[๗] และพระมารดาทิวงคต
–๏–
๏ ทรงประทานชื่อไว้ เรียกขาน
สิตธัตถะกุมาร เก่งกล้า
แปดพราหมณ์เอกชำนาญ ต่างกล่าว ชี้นา
เป็นหนึ่งในโลกหล้า แน่แท้ศาสดา ๚ะ
๏ พระมารดาละทิ้ง สังขาร
อยู่คู่แค่เจ็ดวาร ค่ำเช้า
แดนดุสิตทิพย์สถาน พระแม่ สถิตย์นา
บุญหมดต่อลูกเจ้า ท่านชี้ธรรมเนียม ๚ะ๛
๒๖ กรกฏาคม ๕๖
๕.
ว่าด้วย : บทสรรเสริญของพระนางกีสาโคตมี
–๏–
๏ หญิงใดเป็นแม่ไซร้ หมดทุกข์
เป็นพ่อเกิดแต่สุข ค่ำเช้า
เป็นเมียยิ่งสนุก เสพสุข สวรรค์นา
อาจอิ่มแทนน้ำข้าว หากแม้นได้ครอง ๚ะ๛
๒๖ กรกฏาคม ๕๖
๖.
ว่าด้วย : ความสุขทางโลกและเหตุออกบวช
–๏–
๏ ศากยะตระกูลชาติเชื้อ พระองค์
โคตมะโคตรกษัตริย์วงค์ หน่อเจ้า
กบิลพัสดุ์[๘] ป่าดง นามถิ่น เมืองนา
เสวยสุขทุกค่ำเช้า เทียบได้ชาวสวรรค์ ๚ะ
๏ บิดาท่านเสกสร้าง บำเรอ
เพื่อล่อลวงท้าวเธอ คลั่งไคล้
นารีหมื่นนางเสนอ สนองซึ่ง กามนา
ปราสาทสามฤดูไซร้ ผูกไว้ครองเมือง ๚ะ
๏ สืบเนื่องด้วยเหตุชี้ บรรพชา
ต่างก่อเชื้อตัณหา ล่อไว้
ครองรักคู่พิมพา[๙] สิบหก ขวบนา
มีบุตรราหุลไซร้ บ่วงคล้องพระองค์ ๚ะ
๏ ทรงเพลิดเพลินอยู่ห้อง ตัณหา
กินเล่นเที่ยวเฮฮา ค่ำเช้า
จิตเกิดเบื่อระอา เห็นซึ่ง โทษนา
อึดอัดอกปวดเกล้า เบื่อแล้วโลกีย์ ๚ะ
๏ เทวทูต[๑๐] ชี้ช่องให้ เห็นทาง
ยี่สิบเก้าปีสว่าง เจิดจ้า
ออกบวชเพื่อละวาง เปลื้องปลด แอกนา
แบกทุกข์อยู่เกือบบ้า ชาตินี้ขาดกัน ๚ะ๛
๒๗ กรกฏาคม ๕๖
๗.
ว่าด้วย : ทรงเสด็จออกบวช
–๏–
๏ ทรงเสพสุขอิ่มแล้ว โลกีย์
ทุกสิ่งล้วนเคยมี พรั่งพร้อม
เห็นแล้วบ่วงราคี ผูกมัด มือนา
จิตมุ่งโพธิญาณน้อม สู่ห้องนิพพาน ๚ะ
๏ ลาสถานสมบัติแก้ว เรือนคลัง
ลาลูกเมียอีกทั้ง ชาติเชื้อ
ลาพ่อแม่เวียงวัง ทุกสิ่ง ทิ้งนา
ลาเพื่อบรรพชาเกื้อ โลกนี้สงบเย็น ๚ะ
๏ ทรงเห็นเหตุแห่งเชื้อ อกุศล
หวังเพื่อหลุดรอดพ้น บ่วงร้าย
ราตรีที่ปลอดคน หนีออก วังนา
ฉันนะห้อยติดท้าย ควบม้าเดินทาง ๚ะ
๏ มารขัดขวางห้ามว่า อย่าไป
อีกเจ็ดวันโชคใหญ่ โผล่แล้ว
ทรงบอกชัดตัดใจ จงอย่า ห้ามนา
ขืนอยู่ติดบ่วงแร้ว ไม่แคล้วตายฟรี ๚ะ
๏ ยามราตรีผ่านพ้น สวัสดี
ถึงฝั่งอโนมานที แม่น้ำ
ทรงตัดพระโมลี ครองเพศ บวชนา
อธิษฐานจิตข้าม บ่วงร้ายเมืองมาร ๚ะ
๏ ประทานซึ่งเครื่องใช้ เครื่องทรง
มอบแก่ฉันนะจง รับไว้
เพื่อบอกต่อทุกองค์ ว่าบวช แล้วนา
จงอย่าคิดตามไซร้ บวชแล้วบวชเลย ๚ะ
๏ ฉันนะเคยรับใช้ ใกล้ชิด
เกือบจบสิ้นชีวิต มอดไหม้
กัณฐกะละลมปลิด ดับจิต ตายนา
ชาวโลกเสียดายไซร้ ร่ำไห้โอดครวญ ๚ะ
๏ มวลหมู่เทพทั่วฟ้า จักรวาล
มีจิตสาธุการ แซ่ซ้อง
เหล่าหมู่พวกพญามาร ตีอก เคืองนา
ต่างเคียดแค้นป่าวร้อง พ่ายแพ้พระองค์ ๚ะ๛
๒๗ กรกฏาคม ๕๖
๘.
ว่าด้วย : โกณฑัญญะพราหมณ์
ออกบวชติดตาม พร้อมด้วยเพื่อนพราหมณ์อีก ๔
–๏–
๏ ข่าวมงคลล่วงรู้ ทั่วกัน
ทราบแก่โกณทัญญ์ แซ่ซ้อง
รีบออกบวชโดยพลัน ตามติด ด้วยนา
พร้อมสี่เพื่อนพราหมณ์จ้อง เพื่อรู้เรียนธรรม ๚ะ๛
๒๘ กรกฏาคม ๕๖
๙.
ว่าด้วย : ทรงเสด็จเดินทางแสวงหาโมกขธรรม
–๏–
๏ มหาบุรุษบวชแล้ว พากเพียร
อยู่ป่าอัมพวันเรียน คิดค้น
หวังหลุดรอดวกเวียน เกิดแก่ ตายนา
จิตมุ่งเพื่อข้ามพ้น บ่วงร้ายพญามาร ๚ะ
๏ กาลล่วงเลยผ่านแล้ว เจ็ดวัน
เข้าสู่ราชคฤห์ขัณฑ์ เขตแคว้น
พิมพิสารทราบข่าวพลัน ทรงเสด็จ เฝ้านา
ถวายซึ่งวังหากแม้น อยากได้ครอบครอง ๚ะ
๏ สองกษัตริย์ต่างล่วงรู้ เจตนา
ก้มกราบปฏิญญา ฝากไซร้
หากสำเร็จวิชชา ช่วยโปรด บอกนา
ทรงรับปวารณาไว้ หลีกลี้บำเพ็ญ ๚ะ๛
๒๘ กรกฏาคม ๕๖
๑๐.
ว่าด้วย : การศึกษาธรรมในสำนักต่างๆ
–๏–
๏ ท่องเที่ยวหาสืบค้น เรียนธรรม
กับท่านผู้ทรงจำ หลุดพ้น
พบดาบสชั้นนำ สองท่าน เก่งนา
เข้าศึกษาอยู่ค้น เพื่อได้ปัญญา ๚ะ
๏ อาฬารดาบส[๑๑] ชี้ หนทาง
ถึงแค่สมาบัติวาง แจ่มแจ้ง
อุทกฯ[๑๒] ต่อเติมหาง ไม่ดับ ทุกข์นา
ดาบสไม่อาจแย้ง ยกให้เสมอครู ๚ะ
๏ หากอยู่ต่อแค่ได้ บูชา
ก้มกราบดาบสลา เที่ยวค้น
สมาบัติแปดแค่ยา เพื่อข่ม พิษนา
หลบหลีกเพื่อตั้งต้น มุ่งค้นโมกขธรรม ๚ะ๛
๒๘ กรกฏาคม ๕๖
๑๑.
ว่าด้วย : ทรงปลีกวิเวกเพื่อเจริญสมณธรรม
–๏–
๏ ผ่านเมืองผ่านป่าไม้ ภูผา
เลาะลัดผ่านมคธา รัฐกว้าง
ถึงอุรุเวลาฯ[๑๓] เขตป่า งามนา
เงียบสงัดป่าชัฏร้าง แมกไม้นาพรรณ ๚ะ
๏ กลางวันฝูงนกร้อง ระงม
น้ำท่าพร้อมอุดม แต่งไว้
บ้านเรือนช่างรื่นรมย์ เหมาะแก่ เพียรนา
ที่เที่ยวโคจรไซร้ อยู่ได้ภาวนา ๚ะ
๏ หาที่พออยู่ได้ หลบฝน
หลบแดดหลบผู้คน เกี่ยวข้อง
ปักใจอยู่ฝึกตน เพียรเพ่ง ธรรมนา
เอาป่าไม้เป็นห้อง แผ่นฟ้าหลังคา ๚ะ
๏ เร่งภาวนาค่ำเช้า ยอมตาย
กดข่มทรมานกาย[๑๔] เกือบบ้า
ปฏิบัติหมดทุกสาย สิ้นหก ปีนา
มีภิกษุ[๑๕] ทั้งห้า นั่งเฝ้าข้างกาย ๚ะ
๏ ยอมตายยอมอดข้าว ย่างตน
สู้ต่อไม่จำนน เลิกร้าง
ตายสลบสลบตายทน เพื่อหลุด พ้นนา
จิตไม่ยอมปล่อยขว้าง เลิกล้มแนวทาง ๚ะ
๏ ปล่อยวางตบะกล้า ลาถอย
ย้อนนึกเห็นร่องรอย ฝึกไว้
คราเมื่อนั่งเล่นคอย งานแรก นาแฮ
ทำซึ่งอานาฯ[๑๖] ไซร้ จิตนี้เบิกบาน ๚ะ
๏ ได้การเห็นชัดแล้ว มรรคผล
ปรับเปลี่ยนวิถีตน เปลี่ยนแก้
นับหนึ่งใหม่ฝึกฝน ยกเลิก ตบะนา
คงสรุปได้แน่แท้ มรรคนี้ถึงชัย ๚ะ๛
๒๘ กรกฏาคม ๕๖
๑๒.
ว่าด้วย : อุปมาธรรมจากสายพิณ[๑๗]
–๏–
๏ สายพิณเพลงดีดก้อง ประหลาด
ตึงนักมักสายขาด หยุดไว้
หากหย่อนนักอุบาทว์ เสียงอาจ เพี้ยนนา
ปรับขยับพอดีไซร้ ดีดได้ถึงใจ ๚ะ๛
๒๙ กรกฏาคม ๕๖
๑๓.
ว่าด้วย : อุปมาธรรมจากท่อนไม้ ๓ ข้อ
–๏–
๏ ไม้สดชุ่มแช่น้ำ สีไฟ
มัวแต่สีสีไป เหนื่อยล้า
ยิ่งสียิ่งหมดใจ ไม่เกิด ไฟนา
กายจิตคลุกกามบ้า ห่อนได้เชื้อไฟ ๚ะ
๏ ไม้สดไกลจากน้ำ สีไฟ
มัวแต่สีสีไป อ่อนล้า
ยิ่งสียิ่งถอดใจ ไม่พบ ไฟนา
กายห่างแต่ใจคว้า นั่งเฝ้าปองหมาย ๚ะ
๏ ไม้แห้งไกลห่างน้ำ สีไฟ
เริ่มเริ่มสีสีไป เกิดได้
ยิ่งสียิ่งสุขใจ ย่อมเกิด ไฟนา
กายจิตห่างกามร้าย ย่อมได้เชื้อไฟ ๚ะ๛
๒๙ กรกฏาคม ๕๖
๑๔.
ว่าด้วย : ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ หนีไป
ปล่อยพระองค์ไว้ลำพัง
–๏–
๏ ภิกษุทั้งห้าเสื่อมแล้ว ศรัทธา
ก้มกราบขออำลา ปล่อยไว้
เห็นหยุดพักกับตา เลิกเชื่อ แล้วนา
เข้าป่าอิสิฯ[๑๘] ไซร้ ห่างไว้เป็นดี ๚ะ๛
๒๙ กรกฏาคม ๕๖
๑๕.
ว่าด้วย : ทรงอธิษฐานความเพียร
–๏–
๏ มหาบุรุษมากพร้อม ศรัทธา
ยึดหลักแห่งปัญญา ค่ำเช้า
กุศลกอดตายคา ไม่อิ่ม ใจนา
เพียรเพ่งไม่กลับก้าว หมดสิ้นความหวัง ๚ะ
๏ หนังเอ็นกระดูกไซร้ เหลืออยู่
เนื้อและเลือดพรั่งพรู เหือดแห้ง
หากไม่เปิดประตู เห็นซึ่ง ธรรมนา
จักไม่ลุกกลับแกล้ง พ่ายแพ้เลิกเพียร ๚ะ๛
๒๙ กรกฏาคม ๕๖
๑๖.
ว่าด้วย : ความไม่ประมาทของพระองค์
–๏–
๏ ความไม่ประมาทแล้ว ลุผล
เฝ้าระวังจิตตน ค่ำเช้า
ย่อมถึงฝั่งทุกคน ได้ลุ ธรรมนา
จิตตื่นทุกย่างก้าว ผ่านพ้นมีชัย ๚ะ๛
๓๐ กรกฏาคม ๕๖
๑๗.
ว่าด้วย : ทรงสุบินนิมิต[๑๙]
และบิณฑบาตมื้อแรกก่อนทรงตรัสรู้
–๏–
๏ มหาบุรุษหลับแล้ว ฝันไป
บอกซึ่งเหตุแห่งชัย ล่วงหน้า
ฝันมากหลากหลายนัย ยากแก่ เขียนนา
ใครใคร่รู้ค้นคว้า อ่านได้รู้เห็น ๚ะ
๏ เพ็ญเดือนหกฤกษ์เช้า ฤดูกาล
ทรงล่วงรู้เหตุการณ์ บอกได้
เห็นเหตุชัดด้วยญาณ แห่งเรื่อง ฝันนา
ใต้ร่มนิโครธไม้ นั่งคู้ตรึกธรรม ๚ะ
๏ ตามตำรากล่าวไว้ อัศจรรย์
หญิงหนึ่งนางมีครรภ์ บุตรไซร้
สมหวังดั่งใฝ่ฝัน ตั้งจิต ขอนา
ต่อเทพนิโครธไว้ ก่อนหน้ามีมา ๚ะ
๏ สุชาดาชื่อนั้น กุลสตรี
น้อมซึ่งปายาส[๒๐] ดี เซ่นไหว้
ถึงมือพระมุนี เชื่อว่า เทพนา
เรียกภัตมื้อแรกได้ ก่อนหน้าผู้คน ๚ะ
๏ ผลแห่งบุญมากไซร้ คณนา
หมู่แห่งเทพเทวา แซ่ซ้อง
ทรงฉลองซึ่งศรัทธา รับหมด ถาดนา
ทรงกล่าวโมทนาก้อง ภัตนี้เลิศทาน ๚ะ
๏ ไม่รอนานรับแล้ว ต่างลา
เสด็จสู่เนรัญชรา อยู่ใกล้
ทรงปั้นเท่าลูกตา สี่สิบ เก้านา
เสวยหมดทุกก้อนไซร้ เสร็จแล้วอธิษฐาน ๚ะ
๏ หากโพธิญาณพระนี้ เห็นผล
ขอถาดทวนสายชล แล่นได้
อัศจรรย์บัดเดี๋ยวดล ถาดแล่น ทวนนา
ทราบชัดชาติสุดท้าย แน่แล้วอาตมา ๚ะ
๏ ทรงหาที่นั่งคู้ บัลลังก์
เลาะลัดตามชายฝั่ง หาดไซร้
ประทับอยู่ลำพัง ใต้ร่ม รัง[๒๑] นา
พบโสตถิยะพราหมณ์ให้ ใบหญ้าแปดกำ ๚ะ
๏ ทรงนำไปเพื่อไว้ ปูลาด
แทนซึ่งแผ่นผ้าอาสน์ นั่งไซร้
ใต้โพธิ์พฤกษาชาติ[๒๒] รองอาตม์ องค์นา
วางเครื่องครองเก็บไว้ นั่งคู้บัลลังก์ ๚ะ
๏ ทรงตั้งสัจละทิ้ง สังขาร
หากไม่อาจประหาร ดับได้
ซึ่งกิเลสบ่วงมาร ไม่ลุก ออกนา
ภพชาตินี้สุดท้าย อย่าได้อยู่เลย ๚ะ
๏ ทรงเคยพลาดพ่ายแพ้ หลายครา
ต่อแต่นี้สัญญา เด็ดไว้
หากไม่เกิดวิชชา เพื่อดับ ทุกข์นา
จะไม่ยอมถอยไซร้ ชีพนี้แตกสลาย ๚ะ
๏ ได้สำเร็จกิจแล้ว สวัสดี
เพราะเหตุแห่งบารมี[๒๓] ก่อไว้
ยามปลายแห่งราตรี ทรงตรัส รู้นา
ทรงชนะมารได้ไซร้ ลุแล้วโพธิญาณ ๚ะ๛
๒๙ กรกฏาคม ๕๖
๑๘.
ว่าด้วย : อานุภาพแห่งการตรัสรู้ธรรม
–๏–
๏ แสงสว่างสว่างทั่วหล้า จักรวาล
เคยมืดมิดนมนาน สว่างจ้า
ขุมนรกมืดทรมาน กลับสว่าง ไสวนา
นี่อัศจรรย์เดชกล้า เหตุด้วยรู้ธรรม ๚ะ๛
๓๐ กรกฏาคม ๕๖
๑๙.
ว่าด้วย : เหตุแห่งแผ่นดินไหว
–๏–
๏ แผ่นดินไหวทั่วพื้น ปฐพี
เหตุแห่งพระบารมี หลุดพ้น
กระเทือนทั่วสวัสดี หาใช่ ภัยนา
มนุษย์เทพสัตว์สุขล้น แซ่ซ้องสาธุการ ๚ะ๛
๓๐ กรกฏาคม ๕๖
๒๐.
ว่าด้วย : พญามารผจญก่อนทรงตรัสรู้ธรรม
–๏–
๏ วัสวดีมาร[๒๔] เล่ห์ร้าย ริษยา
ประกาศเรียกเสนา พรั่งพร้อม
ก่อกวนก่อปัญหา หลายเรื่อง ชั่วนา
หวังเพื่อพิชิตล้อม ต่อต้านเบียดเบียน ๚ะ
๏ ยกพลเวียนก่อร้าย รบกวน
ร้องเรียกเที่ยวชักชวน พวกพ้อง
สมุนมารหมื่นล้านขบวน ขับไล่ พระนา
ด่าว่าตะโกนร้อง เพื่อให้เลิกเพียร ๚ะ
๏ เปลี่ยนวิธีใส่ร้าย ป้ายสี
หวังเสื่อมสิ้นบารมี แพ่พ้าย
จ้องรุกขับราวี บีบไล่ ถอยนา
ค้นคิดเรื่องชั่วร้าย ยกค้านพระองค์ ๚ะ
๏ ทรงอธิษฐานจิตอ้าง บารมี
เชิญแม่พระธรณี ช่วยไว้
มารแตกทัพวิ่งหนี ยอมยก ธงนา
ก้มกราบยอมแพ้ไซร้ หมดสิ้นปัญญา ๚ะ๛
๓๐ กรกฏาคม ๕๖
๒๑.
ว่าด้วย : ลำดับแห่งการตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
–๏–
๏ ทรงเข้าฌานผ่านได้ สี่ฌาน[๒๕]
จิตตื่นรู้เบิกบาน พักไว้
เลื่อนสู่ปุพเพฯ ญาณ[๒๖] ยามแรก รู้นา
รู้ทั่วภพภูมิไซร้ ชัดแจ้งครรลอง ๚ะ
๏ ยามสองทรงหยั่งรู้ เกิดตาย
แห่งหมู่สัตว์หญิงชาย เทพไท้
ผุดเกิดทุกที่หมาย เห็นชัด ตานา
เรียกจุตูปาตะฯ ไซร้ แจ่มแจ้งภพนาม ๚ะ
๏ ยามสามทรงหยั่งรู้ อริยสัจ
เหตุแห่งทุกข์มนุษย์สัตว์ ยึดไว้
เห็นทางดับทุกข์ชัด ตัดละ พ้นนา
เรียกชื่ออาสาวะฯ ไซร้ เสร็จสิ้นพรหมจรรย์ ๚ะ๛
๓๐ กรกฏาคม ๕๖
๒๒.
ว่าด้วย : ความเป็นศาสดาเอกของโลก
–๏–
๏ ทรงตรัสรู้ชอบแล้ว สัจธรรม
ทรงอยู่เหนือบุญกรรม ผ่องแผ้ว
ศาสดาเอกเลิศล้ำ แห่งโลก สามนา
ทรงตรัสรู้เองแล้ว หมดสิ้นสงสัย ๚ะ๛
๓๑ กรกฏาคม ๕๖
๒๓.
ว่าด้วย : อุทานธรรมเย้ยตัณหาหลังตรัสรู้ธรรมแล้ว
–๏–
๏ ตถาคตท่องเที่ยวแล้ว หลายชาติ
ไม่พบช่างอุบาทว์ ต่ำช้า
ตัณหา[๒๗] ช่างแสนฉลาด หลบซ่อน ตัวนา
โอ้ช่างตัณหาบ้า อย่าได้อวดดี ๚ะ
๏ โรงเรือนที่ก่อสร้าง เรารื้อ
สิ่งที่หลอกยึดถือ กวาดล้าง
ต้นเสาหักคามือ เราโค่น ทิ้งนา
ทุกสิ่งเราจับขว้าง ทุบทิ้งสิ้นสูญ ๚ะ
๏ แสนอาดูรน่าเศร้า สมเพช
ต่อแต่นี้ฤทธิ์เดช ดับสิ้น
เรือนอยู่แห่งกิเลส หมดสิทธิ์ สร้างนา
เชื้อเก่าทุกเศษชิ้น ถอดทิ้งจบกัน ๚ะ๛
๓๐ กรกฏาคม ๕๖
๒๔.
ว่าด้วย : ทรงเสวยวิมุตติสุขหลังจากตรัสรู้
–๏–
๏ พรหมจรรย์สุดสิ้น เส้นทาง
งานยุ่งปล่อยละวาง พักไว้
มลทินปัดสะสาง สะอาด สงบนา
อิสระเบิกบานไซร้ สุขแท้ทรงเสวย ๚ะ
๏ เคยทุกข์เคยจิตท้อ หมดหวัง
เคยเครียดหมดสิ้นพลัง ต่อสู้
เคยถูกจับคุมขัง หลุดรอด พ้นนา
เช้าค่ำจิตตื่นรู้ สุขแท้ครอบครอง[๒๘] ๚ะ
๏ ทรงยืนมองดูต้น โพธิ์แก้ว[๒๙]
เพ่งตลอดเจ็ดวันแล้ว เปลี่ยนย้าย
จงกรม[๓๐] จิตผ่องแผ้ว ครบเจ็ด วันนา
ประทับเรือน[๓๑] แก้วท้าย นับได้เจ็ดวัน ๚ะ
๏ ทรงหันกลับเสด็จก้าว ดำเนิน
นั่งอยู่ต้นไทรเพลิน สุขแท้
พุทธธรรมช่างลึกเกิน ยากหยั่ง รู้นา
บุญเก่าช่วยปลดแก้ พบได้เส้นทาง ๚ะ๛
๓๑ กรกฏาคม ๕๖
๒๕.
ว่าด้วย : ทรงขับไล่ธิดามาร[๓๒]
–๏–
๏ วัสวดีมารพ่ายแพ้ ตรอมใจ
ช่างอับอายใครใคร ทั่วหน้า
ปล่อยให้พระคว้าชัย ได้ตรัส รู้นา
อายเทพทุกทั่วหล้า หลบลี้อำพราง ๚ะ
๏ นั่งริมทางใหญ่กว้าง คอตก
เผลอนั่งหลับสัปหงก ร่ำไห้
ลูกสาวบอกพ่อตลก เป็นเรื่อง เล็กนา
ชายทั่วโลกตายไซร้ พ่ายแพ้เสน่ห์นาง ๚ะ
๏ ว่าพลางรีบเร่งเท้า ตามหา
หวังยั่วปลุกกามา คลั่งไคล้
ตัณหากับราคา อรดี สาวนา
กระโดดเข้าชิดใกล้ ยั่วเย้าบำเรอ ๚ะ
๏ เธอสามสาวยั่วเย้า ตลอดวัน
เปลี่ยนท่าแบ่งงานกัน รุกเร้า
พระทรงเมตตาพลัน บอกกล่าว หนีนา
ทุกสิ่งที่สูเจ้า ยั่วเย้าไร้ผล ๚ะ
๏ มนต์เสน่ห์ที่พวกเจ้า ต่างร่าย
อาจสะกดจิตผู้ชาย โง่บ้า
ตถาคตหมดความหมาย จงอย่า ร่ายนา
นางร่ำไห้หลบหน้า พ่ายแพ้สยบยอม ๚ะ๛
๓๑ กรกฏาคม ๕๖
๒๖.
ว่าด้วย : พราหมณ์แท้พราหมณ์เทียม
–๏–
๏ ผู้ใดมีบาปพ้น จากใจ
กล่าวเรียกว่าพราหมณ์ไท ผ่องแผ้ว
กายใจสะอาดใส พ้นบ่วง มารนา
อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ชื่อแท้พราหมณ์ธรรม ๚ะ๛
๓๑ กรกฏาคม ๕๖
๒๗.
ว่าด้วย : พญามุจลินท์นาคราช
–๏–
๏ กาลผ่านไปนับแล้ว เจ็ดวัน
เสด็จทิศอาคเนย์พลัน นั่งไซร้
ใต้ร่มจิก[๓๓] ไม้พรรณ ฝนตก พรำนา
พญานาคป้องฝนให้ นับได้เจ็ดวาร ๚ะ
๏ ทรงสำราญยิ่งแล้ว เบิกบาน
ขบคิดย้อนวันวาน ผ่านพ้น
หมู่เทพทั่วจักรวาล ผลัดเปลี่ยน เฝ้านา
ต่างแช่มชื่นสุขล้น ทั่วหน้าเกิดบุญ ๚ะ๛
๓๑ กรกฏาคม ๕๖
๒๘.
ว่าด้วย : อุทานธรรมแก่พญามุจลินท์นาคราช
–๏–
๏ ความสงัดเป็นสุขแท้ มุนี
จิตใคร่เสพยินดี ย่อมได้
เห็นเหตุทุกสิ่งมี เกิดดับ ได้นา
มีจิตไม่คิดร้าย ล่วงได้เรื่องกาม ๚ะ
๏ ความคิดถือว่าข้า เก่งกล้า
เที่ยวแบกตัวกูท้า อวดอ้าง
ถอนออกซึ่งความบ้า ออกหมด ได้นา
อยู่สุขในโลกกว้าง ชั่วฟ้าดินสลาย ๚ะ๛
๓๑ กรกฏาคม ๕๖
๒๙.
ว่าด้วย : ทรงเสวยวิมุตติสุขเป็นวาระสุดท้าย
ท้าวสักกเทวราชถวายผลสมอ
–๏–
๏ ครั้นกาลผ่านล่วงแล้ว บอกเหตุ
เสด็จสู่ร่มไม้เกด[๓๔] ทิศใต้
ทรงเสวยสุขวิเศษ อีกเจ็ด วันนา
ท้าวสักกะถวายสมอ[๓๕] ให้ ถ่ายล้างวรกาย ๚ะ๛
๓๑ กรกฏาคม ๕๖
๓๐.
ว่าด้วย : เทววาจิกอุบาสก สองพี่น้อง
ถึงพระพุทธ พระธรรมเป็นสรณะ
–๏–
๏ พานิชสองพี่น้อง นายเกวียน
ตปุสสะภัลลิกะเพียร เที่ยวค้า
ทราบข่าวเกือบจวนเจียน เลยผ่าน ไปนา
จากเพื่อนเทพบนฟ้า บอกแจ้งข่าวดี ๚ะ
๏ ว่ามีพระพุทธเจ้า ศาสดา
จึงเร่งรีบตามหา พบแล้ว
น้อมสัตตุ[๓๖] บูชา ขอพึ่ง พระนา
เป็นอุบาสกแก้ว ก่อนหน้าใครใคร ๚ะ
๏ จิตเลื่อมใสยิ่งแล้ว อำลา
ก้มกราบน้อมวันทา กลับไซร้
ทรงมอบพระเกศา แทนพระ องค์นา
รับมอบเก็บซ่อนไว้ ใส่เกล้าบูชา ๚ะ๛
๓๑ กรกฏาคม ๕๖
๓๑.
ว่าด้วย : ทรงคิดหาสิ่งเคารพ
เห็นว่าพระองค์ควรเคารพพระธรรม
–๏–
๏ วันวานผ่านล่วงพ้น เจ็ดวัน
เสด็จจากไม้เกดพลัน ขยับย้าย
สู่ไทรอยู่ติดกัน อีกหนึ่ง ครานา
ทรงคิดสิ่งกราบไหว้ คิดค้นค้นหา ๚ะ
๏ ตถาคตนั้นเลิศแล้ว ผู้นำ
เห็นแต่พระสัทธรรม เลิศไซร้
ควรยิ่งแก่การทำ ซึ่งกิจ นบนา
พระพุทธต่างทรงไว้ เช่นนี้ทุกองค์ ๚ะ๛
๑ สิงหาคม ๕๖
๓๒.
ว่าด้วย : พราหมณ์ตัดพ้อ
ว่าพระองค์ไม่เคารพคนเฒ่าชรา ผู้มีอายุ
–๏–
๏ พราหมณ์ต่างกล่าวโจทย์ชี้ ครหา
ว่าไม่เคารพเฒ่าชรา ถ่อมให้
ทรงตรัสตอบปัญหา บอกแก่ พราหมณ์นา
แก่เฒ่าใช่อายุไซร้ แก่แท้รู้ธรรม ๚ะ
๏ คำพูดบ่งบอกชี้ เฒ่าชรา
กล่าวหยาบเที่ยวมุสา หลอกไซร้
กล่าวจริงก่อปัญญา ควรแก่ กราบนา
คำพูดบอกภูมิให้ กราบไหว้ได้บุญ ๚ะ๛
๑ สิงหาคม ๕๖
๓๓.
ว่าด้วย : พญามารอาราธนาให้เสด็จปรินิพพาน
–๏–
๏ มารผู้ใจหยาบช้า จอมพาล
ทูลพระทรงนิพพาน ดับไซร้
ทรงกล่าวตอบใช่กาล ควรแก่ ละนา
รอก่อนรอก่อนให้ โลกนี้ปลอดภัย ๚ะ
๏ ตราบใดสัตว์ไม่พ้น ปัญหา
สาวกขาดปัญญา ตื่นรู้
ศาสนาไม่วัฒนา เจริญรุ่ง เรืองนา
ตถาคตเพียรต่อสู้ กอบกู้พระธรรม ๚ะ๛
๑ สิงหาคม ๕๖
๓๔.
ว่าด้วย : ทรงท้อพระทัยในการแสดงธรรม
–๏–
๏ จิตพระองค์เหนื่อยล้า ท้อถอย
เห็นหมู่สัตว์สติน้อย เกียจคร้าน
อาลัยโลกล่องลอย คิดแต่ กามนา
จิตลุ่มหลงผลักต้าน ละทิ้งใฝ่ธรรม ๚ะ
๏ กรรมสัตว์โลกติดข้อง ตัณหา
ธรรมลึกเกินปัญญา หยั่งรู้
จิตไร้ซึ่งศรัทธา หยาบยิ่ง ยากนา
คงเหนื่อยเปล่าอย่าสู้ งดไว้สอนคน ๚ะ๛
๒ สิงหาคม ๕๖
๓๕.
ว่าด้วย : ท้าวมหาพรหมทูลอาราธนา
ให้แสดงธรรมโปรดสัตว์โลก
–๏–
๏ โลกทั้งโลกเสื่อมแล้ว ฉิบหาย
หากพระเลิกเป้าหมาย ขุดรื้อ
โลกทั้งโลกวุ่นวาย เพราะขาด ธรรมนา
โลกขาดธรรมมืดตื้อ หม่นไหม้โศกา ๚ะ
๏ อาราธนากราบไหว้ ศาสดา
เชิญเถิดโปรดเมตตา ช่วยไว้
สัตว์ผู้มากปัญญา มีอยู่ มากนา
หากพลาดโอกาสไซร้ เสื่อมสิ้นนัยน์ตา ๚ะ๛
๒ สิงหาคม ๕๖
๓๖.
ว่าด้วย : ทรงพิจารณาบุคคลเปรียบด้วยดอกบัว[๓๗] ๔ เหล่า
–๏–
๏ หมู่สัตว์นั้นแบ่งชี้ ดีชั่ว
ทรงเปรียบเช่นดอกบัว ตรัสไว้
ประเภทแรกเกลียดกลัว ต่อบาป กรรมนา
ดั่งเช่นบัวบานไซร้ ผ่านพ้นวารี ๚ะ
๏ สองทรงชี้ไว้เช่น ปริ่มน้ำ
อีกไม่กี่อึดข้าม โผล่ได้
อาจชี้แนะฟังความ รู้ทั่ว อรรถนา
สามเช่นบัวผ่านร้าย แช่น้ำพ้นตม ๚ะ
๏ อาจข่มขัดบอกชี้ รู้ความ
เฝ้าดุเฝ้าจี้ตาม โผล่พ้น
สี่ยากยิ่งยกหาม บอกกล่าว สอนนา
หมดสิทธิ์ช่วยขุดค้น แช่แล้วในตม ๚ะ๛
๒ สิงหาคม ๕๖
๓๗.
ว่าด้วย : ทรงเห็นลู่ทางที่จะช่วยเหลือปวงสัตว์ได้
–๏–
๏ ทางเดียวทางเอกชี้ หลักใจ
อาจช่วยหมู่สัตว์ไป รอดได้
พระสติปัฏฐานชัย[๓๘] ตัวแก่น ธรรมนา
ดับซึ่งกิเลสร้าย หมดสิ้นเชื้อสูญ ๚ะ๛
๒ สิงหาคม ๕๖
๓๘.
ว่าด้วย : ทรงระลึกหาผู้รับปฐมเทศนา
–๏–
๏ ทรงใคร่ครวญสืบค้น ค้นหา
ผู้ที่มีปัญญา รับได้
สองดาบสครูบา ครูเก่า เก่งนา
ทรงทราบซึ่งข่าวร้าย ท่านสิ้นอายุขัย ๚ะ
๏ ทรงเปลี่ยนใจโยกย้าย กรุณา
เห็นซึ่งภิกษุห้า นั่นไซร้
เป็นผู้มากศรัทธา มากซึ่ง คุณนา
อยู่ป่าอิสิฯ[๓๙] ใกล้ มุ่งหน้าตรงไป ๚ะ
๏ ในเส้นทางพบแล้ว อุปกะ[๔๐]
ถามไต่ไม่ลดละ ซักไซร้
ทรงบอกนี่พุทธะ เป็นหนึ่ง โลกนา
แล้วแลบลิ้นยกให้ ส่ายหน้าอำลา ๚ะ
๏ ถึงเขตป่าค่ำแล้ว ตามหา
พบซึ่งภิกษุห้า ครบไซร้
ต่างนัดแนะสัญญา จงอย่า รับนา
เดชแห่งฤทธิ์เปลี่ยนให้ กราบไหว้เชื้อเชิญ ๚ะ
๏ ทรงเผชิญหน้าตรัสให้ ตั้งใจ
จะช่วยรื้อแก้ไข บาปร้าย
ภิกษุบอกปัดไป ไม่อยาก เชื่อนา
ตรัสอีกสองครั้งไซร้ ต่างน้อมยอมฟัง ๚ะ๛
๒ สิงหาคม ๕๖
๓๙.
ว่าด้วย : ปฐมเทศนา[๔๑]
–๏–
๏ วันเพ็ญเดือนแปดเช้า ประกาศ
ตรงกับอาสาฬหมาส กล่าวไว้
พระทรงเปล่งสีหนาท ณ ป่า อิสิฯ[๔๒] นา
เรียกชื่อธรรมจักร[๔๓] ไซร้ ตรัสแล้วใจความ ๚ะ
๏ สุขในกามห่อหุ้ม มัดใจ
จิตยึดถือหลงไหล หม่นไหม้
ทรมานร่างย่างไฟ กดข่ม กายนา
สองส่วนล้วนผิดไซร้ เสพแล้วผิดทาง ๚ะ
๏ จิตสว่างใสดับแล้ว ซึ่งทุกข์
มรรคแปดนี้ก่อสุข แน่ไซร้
อริยะเกิดทุกยุค คู่โลก ตลอดนา
รีบเร่งศึกษาไว้ จบสิ้นพรหมจรรย์ ๚ะ
๏ พระอัญญาฯ[๔๔] รู้ทั่ว ใจความ
น้อมจิตคล้อยฟังตาม หลุดพ้น
ธรรมจักรช่างงดงาม บริสุทธิ์ เลิศนา
พระมากกรุณาล้น ช่วยรื้อสงสาร ๚ะ๛
๓ สิงหาคม ๕๖
๔๐.
ว่าด้วย : อริยสัจ[๔๕]
–๏–
๏ เกิดแก่ตายเหล่านี้ เป็นทุกข์
เศร้าโศกพลาดจากสุข ร่ำไห้
ขันธ์[๔๖] ห้ายอดตัวคุก กอดยึด ทุกข์นา
ทุกขสัจแค่รู้ไว้ อย่าให้มัดใจ ๚ะ
๏ สองสมุทัยเหตุให้ เกิดทุกข์
จิตอยากเสพเสวยสุข คลั่งไคล้
อยากโน่นนี่นั่นคุก ผูกมัด สัตว์นา
รีบละหลีกห่างไว้ โปรดรู้อย่าตาม ๚ะ
๏ สามนิโรธดับแล้ว สิ้นทุกข์
ถึงซึ่งเขตบรมสุข เลิศล้น
หลุดรอดออกจากคุก อิสระ จิตนา
รู้ชัดแจ้งหลุดพ้น สุขแท้สวัสดี ๚ะ
๏ สี่มรรคสัจเร่งไว้ ทางเดิน
หาใช่สิ่งยากเกิน ล่วงรู้
หากเพียรย่อมเพลิดเพลิน สำเร็จ ได้นา
รีบเร่งปฏิบัติสู้ เกิดได้มรรคผล ๚ะ๛
๓ สิงหาคม ๕๖
๔๑.
ว่าด้วย : อริยมรรคมีองค์ ๘[๔๗]
–๏–
๏ มรรคแปดทางสว่างไซร้ ปฏิปทา
บ่อเกิดแห่งปัญญา หลุดพ้น
แปดสายหนึ่งมรรคา ท่องเที่ยว ถึงนา
รีบเร่งพากเพียรค้น ถูกต้องวิชชา ๚ะ
๏ ปัญญาเห็นชอบแล้ว ทุกข์ดับ
สองคิดชอบจิตขยับ รอดไซร้
วาจาชอบสามปรับ แก้ทุกข์ สิ้นนา
สี่มุ่งการงานไว้ ยึดสร้างสัมมา ๚ะ
๏ ห้าเลี้ยงชีวิตไว้ ชอบธรรม
หกพากเพียรหมั่นทำ ชอบไว้
เจ็ดระลึกประจำ เช้าค่ำ ชอบนา
แปดจิตตั้งชอบไซร้ มรรคนี้พุทธธรรม ๚ะ๛
๓ สิงหาคม ๕๖
๔๒.
ว่าด้วย : พระรัตนตรัยครบองค์สามเกิดขึ้นในโลก
–๏–
๏ พระรัตนตรัย[๔๘] ครบแล้ว องค์สาม
โลกสว่างสงบงดงาม ทั่วหล้า
สัจธรรมเคลื่อนหมุนตาม ขยี้บด มารนา
ประโยชน์สุขทั่วหน้า พรั่งพร้อมบริบูรณ์ ๚ะ๛
๓ สิงหาคม ๕๖
๔๓.
ว่าด้วย : ยสกุลบุตร
–๏–
๏ ทรัพย์สมบัติพรั่งพร้อม ครบครัน
เทียบเท่าเหล่าชาวสวรรค์ ว่าได้
จิตเกิดเบื่อหน่ายพลัน บุญเก่า[๔๙] หนุนนา
ที่นี่วุ่นวายร้าย กล่าวร้องออกมา ๚ะ
๏ พระตถาคตกล่าวแก้ ตอบไป
ที่นี่ไม่วุ่นใจ สุขไซร้
ยสะหนุ่มเกิดเลื่อมใส จิตเชื่อ ตามนา
ทรงมอบปัญญาให้ หลุดพ้นบรรพชา ๚ะ
๏ บิดาต่างเที่ยวค้น ตามหา
พบซึ่งพระศาสดา กราบไหว้
ฟังธรรมเกิดปัญญา ขอพึ่ง พระนา
เป็นอุบาสกได้ ครบถ้วนรัตนตรัย ๚ะ
๏ ตามตำรากล่าวไว้ พิศดาร
ทั้งครอบครัวลูกหลาน ทั่วหน้า
จิตเกิดกุศลญาณ ถึงแก่น ธรรมนา
ญาติมิตรไม่รอช้า บวชด้วยทันที ๚ะ
๏ คัมภีร์กำหนดชี้ จำนวน
มีครบหกสิบถ้วน พระแท้
ทรงบวชหมดทั้งมวล ล้วนแต่ อรหันต์นา
ทรงส่งไปปรับแก้ บอกเนื้อแก่นธรรม ๚ะ๛
๔ สิงหาคม ๕๖
๔๔.
ว่าด้วย : อนุปุพพิกถาที่ทรงแสดงแก่ยสะกุลบุตร[๕๐]
–๏–
๏ ทานเสียสละแบ่งให้ ทั่วหน้า
ด้วยจิตเชื่อบูชา มากไว้
ศีลเว้นจากมายา ก่อบาป กรรมนา
สวรรค์มุ่งเสวยสุขไซร้ บ่งชี้ผลบุญ ๚ะ
๏ กามคุณ[๕๑] โทษมากชี้ ระวัง
หลงติดพินาศพัง เสื่อมไซร้
เนกขัมม์บ่อแห่งพลัง หลบหลีก กามนา
เพียรสั่งสมก่อไว้ มากแท้อานิสงส์ ๚ะ๛
๔ สิงหาคม ๕๖
๔๕.
ว่าด้วย : ส่งสาวกประกาศพระศาสนา[๕๒]
–๏–
๏ เราตถาคตหลุดพ้น บ่วงมาร
ทั้งทิพย์มนุษย์ทุกขนาน ผ่านไซร้
เธอก็ล่วงก้าวผ่าน เฉกเช่น เรานา
จงเที่ยวประกาศให้ โลกนี้สงบเย็น ๚ะ
๏ จงเอ็นดูช่วยชี้ มรรคผล
ประโยชน์สุขมหาชน เทพไท้
องค์เดียวเที่ยวปลีกตน สองรูป เว้นนา
หมู่สัตว์ฉลาดปราชญ์ไซร้ อาจได้เห็นธรรม ๚ะ
๏ จงพร่ำสอนกล่าวให้ ไพเราะ
ครบทั่วสามกาลเหมาะ ผ่องแผ้ว
อย่ากล่าวเล่นหัวเราะ ผิดแผก ธรรมนา
เรามุ่งอุรุฯ[๕๓] แล้ว เพื่อชี้แสดงธรรม ๚ะ๛
๔ สิงหาคม ๕๖
๔๖.
ว่าด้วย : ภัททวัคคีย์ มาณพหนุ่ม ๓๐ คน
–๏–
๏ ระหว่างทางพบแล้ว มาณพ
สามสิบคนนับครบ เที่ยวค้น
หาหญิงช่างประจบ หลอกซึ่ง ทรัพย์นา
บอกกล่าวถูกลักปล้น หมดสิ้นเงินตรา ๚ะ
๏ ทรงเมตตาบอกชี้ หาตน
มัวเที่ยวหาไร้ผล หยุดไว้
หาตนเกิดกุศล ได้แก่น สารนา
มาณพขอบวชไซร้ ตื่นรู้หมดกรรม ๚ะ๛
๔ สิงหาคม ๕๖
๔๗.
ว่าด้วย : โปรดชฎิล ๓ พี่น้อง
–๏–
๏ เสด็จถึงมคธรัฐแคว้น ราชคฤห์
เข้าป่าอุรุฯ[๕๔] ลึก เขตใกล้
มากครูพร่ำสอนฝึก ยึดเชื่อ รู้นา
ทรงแผ่กรุณาให้ ทั่วหน้าพ้นกาม ๚ะ
๏ ชฎิลสามพี่น้อง มากศิษย์
ถือซึ่งไฟศักดิ์สิทธิ์ กราบไหว้
มีนาคมากด้วยฤทธิ์ ถือยึด ยัญนา
เทียบเท่าอรหันต์ไซร้ ลาภล้นศักดิ์ศรี ๚ะ
๏ อุรุเวลฯ[๕๕] พี่ใหญ่นั้น ปกครอง
อีกชื่อนทีฯ[๕๖] น้อง อยู่ใกล้
คยาฯ[๕๗] นั้นสุดท้ายรอง ขึ้นชื่อ เก่งนา
อยู่ติดเนรัญฯ[๕๘] ไซร้ เรียกร้องศรัทธา ๚ะ
๏ ทรงเข้าหามอบให้ ปัญญา
ทรงปราบด้วยอภิญญา ฤทธิ์ไซร้
ชฎิลหมอบกราบวันทา ยอมเชื่อ บวชนา
ความพิศดารกล่าวไว้ มากเนื้อหลายนัย ๚ะ
๏ สรุปใจความย่อไว้ พองาม
บ้างอวดฤทธิ์อวดงาม อวดรู้
บ้างปฏิบัติเชื่อตาม แบบเก่า ยึดนา
บ้างสุดเกินแก้กู้ ช่วยชี้บอกทาง ๚ะ
๏ บ้างอ้างรู้หมดแล้ว อวดดี
บ้างติดยศศักดิ์ศรี แบกไว้
บ้างเชื่อเทพเชื่อผี ไหว้กราบ อ้อนนา
ทรงเที่ยวสอนเปลี่ยนให้ ซาบซึ้งในธรรม ๚ะ๛
๕ สิงหาคม ๕๖
๔๘.
ว่าด้วย : โปรดพระเจ้าพิมพิสาร
พระราชาเมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ
ตามที่ทรงได้รับปฏิญญาไว้
–๏–
๏ เสด็จสู่ราชคฤห์แล้ว โดยพลัน
ประทับอยู่ลัทธิวัน ป่าน้อย
พิมพิสารพระราชันย์ ทราบข่าว เสด็จนา
เสด็จแวดล้อมนับร้อย พรั่งพร้อมบริวาร ๚ะ
๏ ถวายการต้อนรับแล้ว ฟังธรรม
รู้ทั่วอรรถเลิศล้ำ ผ่องแผ้ว
ถวายซึ่งแผ่นดินทำ วัดแรก ขึ้นนา
เป็นป่าไผ่[๕๙] เสร็จแล้ว หลั่งน้ำบูชา ๚ะ
๏ มีเหตุน่ารับรู้ จดจำ
คราวเสด็จโปรดแสดงธรรม กล่าวไว้
หมู่อำมาตย์แสร้งทำ อ้างอวด ตนนา
ทรงมอบอุรุฯ[๖๐] ให้ ปราบสิ้นพยศทราม ๚ะ
๏ เนื้อความบางบทชี้ แถลงไข
เหตุแห่งกรวดน้ำใส เริ่มต้น
หมู่เปรตญาติทุกข์ใจ ขอส่วน บุญนา
อุทิศบุญทุกข์พ้น ทราบไว้ประเพณี ๚ะ๛
๕ สิงหาคม ๕๖
๔๙.
ว่าด้วย : ทรงแสดงธรรม ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร
–๏–
๏ แสงแห่งธรรมสว่างแล้ว ทั่วหล้า
หมู่สัตว์สุขทั่วหน้า ตื่นรู้
หมดกรรมหมดปัญหา เว้นจาก บาปนา
สะอาดสว่างทุกผู้ ไม่เว้นขอทาน ๚ะ
๏ ทรงประทานสุขให้ ครบกาล
เช้าค่ำบ่มเพาะหว่าน เมล็ดเชื้อ
ไม่บ่นเบื่อรำคาญ เหน็ดเหนื่อย ท้อนา
จิตโปรดทุกหน่อเนื้อ ดื่มลิ้มรสธรรม ๚ะ๛
๕ สิงหาคม ๕๖
๕๐.
ว่าด้วย : พระอัครสาวก[๖๑]
–๏–
๏ ถือกำเนิดเกิดแล้ว สองชาย
อุปติสสะโกลิตะ[๖๒] สหาย ชิดใกล้
มีพ้องเพื่อนมากมาย ท่องเที่ยว เล่นนา
บุญเก่าหนุนส่งให้ ใฝ่รู้พระธรรม ๚ะ
๏ เวลาค่ำคราวหนึ่งนั้น เที่ยวงาน
เคยเพลิดเพลินสนุกสนาน สุขล้น
จิตรู้ว่าไม่นาน ตายก่อน วัยนา
ควรมุ่งธรรมหลุดพ้น เกิดได้ปัญญา ๚ะ
๏ รีบออกหาบ่อแก้ว กุศล
ประดับกายใจตน เร่งไว้
อาจพบซึ่งมรรคผล ก่อนหมด ลมนา
เป็นศิษย์สัญชัย[๖๓] ไซร้ เพื่อรู้เรียนธรรม ๚ะ
๏ พร่ำพากเพียรค่ำเช้า รู้หมด
จบแจ่มแจ้งทุกบท บอกไว้
กิเลสไม่เห็นลด นึกแปลก ใจนา
ถามซึ่งอาจารย์ไซร้ แค่นี้วิชา ๚ะ
๏ ออกเที่ยวหาทั่วแล้ว วิชชา
เห็นพระอัสสชิศรัทธา เกิดไซร้
กราบขอซึ่งปัญญา ช่วยบอก ด้วยนา
พระอัสสชิบอกให้ ตื่นรู้ฉับพลัน ๚ะ
๏ เหตุนั้นย่อมเกิดแล้ว มีมา
ดับซึ่งเหตุปัญหา ดับไซร้
อุปติสสะเกิดปัญญา จิตสว่าง ไสวนา
ลากลับสัญญาไว้ เพื่อนนั้นรอฟัง ๚ะ
๏ หันหลังรีบวิ่งร้อง ดีใจ
เราพบแล้วธรรมชัย ผ่องแผ้ว
บอกโกลิตะตามนัย ทุกบท ฟังมา
โกลิตะรู้แล้ว ครบถ้วนเบิกบาน ๚ะ
๏ บอกอาจารย์พบแล้ว ปัญญา
องค์เอกพระศาสดา เกิดแล้ว
อาจารย์ไม่นำพา บอกปัด อย่านา
หากร่วมทางไม่แคล้ว โลกนี้ติเตียน ๚ะ
๏ น้อมธูปเทียนกราบไหว้ อำลา
ต่างมุ่งพบศาสดา บวชไซร้
บวชแล้วเกิดปัญญา เป็นยอด พระนา
ทรงยกย่องตั้งไว้ เลิศแล้วทางธรรม ๚ะ๛
๕ สิงหาคม ๕๖
๕๑.
ว่าด้วย : ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์[๖๔]
–๏–
๏ ขันติความอดกลั้น กายใจ
เป็นตบะกล้ายิ่งใหญ่ ตรัสไว้
พุทธเจ้าตรัสสัจนัย ทุกพระ องค์นา
ว่าพระนิพพานไซร้ แก่นแท้บรมธรรม ๚ะ
๏ คิดทำร้ายผู้อื่น อย่าคิด
หาใช่เพศบรรพชิต พระไซร้
เบียดเบียนก่อวิปริต ผู้อื่น ร้อนนา
หาใช่สมณะทรงไว้ หน่อเนื้อพระธรรม ๚ะ
๏ การไม่ทำชั่วช้า เลวทราม
ก่อแต่ความดีงาม เก็บไว้
จิตบริสุทธิ์ทุกยาม สะอาด สงบนา
พระพุทธทรงตรัสไว้ เช่นนี้ตลอดกาล ๚ะ
๏ การไม่พูดว่าร้าย ก่อภัย
การไม่ทำร้ายใคร หยุดไซร้
การถือพระวินัย เคร่งครัด กฏนา
รู้จักประมาณไว้ เรื่องท้องดื่มกิน ๚ะ
๏ ยินดีที่อยู่แล้ว เสนาสนะ
ที่นั่งนอนสมถะ สงัดไซร้
ฝึกจิตอย่าลดละ เพียรยิ่ง ยวดนา
พระพุทธทรงแสดงไว้ เช่นนี้ทุกองค์ ๚ะ๛
๕ สิงหาคม ๕๖
๕๒.
ว่าด้วย : ทรงเสด็จเมืองกบิลพัสดุ์
–๏–
๏ ข่าวพระเกียรติกึกก้อง ฟุ้งขจร
ถึงเขตกบิลพัสดุ์นคร ทั่วแล้ว
บิดาตรัสไหว้วอน ทูลเสด็จ โปรดนา
ทรงรับทูลพ่อแก้ว เสด็จแล้วโดยพลัน ๚ะ
๏ ถึงเขตขัณฑ์พ่อแก้ว พารา
ประทับนิโครธา[๖๕] จัดไว้
ฝนแก้ว[๖๖] ตกลงมา เกิดเหตุ อัศจรรย์นา
ทรงตรัสบุพพชาติ[๖๗] ไซร้ กล่าวไว้พิศดาร ๚ะ๛
๖ สิงหาคม ๕๖
๕๓.
ว่าด้วย : โปรดพุทธบิดา
–๏–
๏ รุ่งเช้าทรงเสด็จแล้ว โคจร
เที่ยวรับบาตรทั่วนคร กล่าวไว้
บิดากราบไหว้วอน จงอย่า เสด็จนา
ผิดแบบประเพณีไซร้ อย่าได้ทำเลย ๚ะ
๏ ทรงเฉลยตรัสบอกชี้ ธรรมเนียม
เป็นพระจงรู้เจียม เคร่งไว้
กษัตริย์ย่อมตระเตรียม ตกแต่ง เสวยนา
ตถาคตเป็นพระไซร้ สิ่งนี้ควรทำ ๚ะ
๏ ทรงแสดงธรรมโปรดแล้ว บิดา
สำเร็จภูมิอนาคาฯ[๖๘] กล่าวไว้
ทรงจ่ายแจกปัญญา รู้ทั่ว เมืองนา
ญาตัตถจริยา[๖๙] ไซร้ แสดงให้โลกเห็น ๚ะ๛
๖ สิงหาคม ๕๖
๕๔.
ว่าด้วย : โปรดพระนางพิมพาเทวี
–๏–
๏ ทรงฟังคำเล่าแล้ว เหตุการณ์
ความโศกเศร้ารอนาน ร่ำไห้
พิมพาทุกข์ทรมาน นับแต่ พรากนา
เก็บกักขังตัวไว้ อยู่ห้องบรรทม ๚ะ
๏ ทรงตรัสชมยกอ้าง คุณนาง
เคยร่วมบำเพ็ญสร้าง ก่อไว้
หลายภพชาติร่วมทาง สุขทุกข์ กันนา
เติมแต่งปณิธานไซร้ ช่วยให้งดงาม ๚ะ
๏ ความเมตตาเอ่อล้น กรุณา
ทรงเสด็จเยี่ยมพิมพา แม่เจ้า
หวังมอบซึ่งดวงตา แห่งพระ ธรรมนา
นางกราบกอดรัดเท้า ร่ำไห้ครวญคราง ๚ะ
๏ ทรงโปรดนางตื่นรู้ หลุดพ้น
สำเร็จโสดาผล[๗๐] แจ่มแจ้ง
มีที่พึ่งแห่งตน จิตเบิก บานนา
เศร้าโศกดับเหือดแห้ง ชาตินี้สมหวัง ๚ะ๛
๗ สิงหาคม ๕๖
๕๕.
ว่าด้วย : นันทกุมารออกบวช
–๏–
๏ ทุกเช้าเสด็จออกแล้ว บิณฑบาต
โปรดสัตว์ทุกวรรณชาติ หน่อเนื้อ
ยื่นบุญยื่นโอกาส ให้แก่ สัตว์นา
จิตโอบอุ้มเอื้อเฟื้อ ช่วยเกื้อป้องกัน ๚ะ
๏ วันหนึ่งทรงเสด็จแล้ว บิณฑบาต
ในเขตนันทนิวาสน์ พระน้อง
วิวาห์ป่าวประกาศ ทราบทั่ว เมืองนา
ครองซึ่งรักร่วมห้อง สืบเชื้อพงษ์พันธุ์ ๚ะ
๏ ครั้นเสร็จภัตตกิจแล้ว โมทนา
ยื่นบาตรให้อนุชา รับไว้
นันทอุ้มติดตามมา ถึงวัด ถวายนา
ทรงสั่งบรรพชาให้ จิตคล้อยเคลิมตาม ๚ะ
๏ ความทุกข์เศร้าเร่าร้อน โหยหา
ถึงแม่ศรีภรรยา คู่ไซร้
บวชแล้วหลั่งน้ำตา ไม่อาจ อยู่นา
ทรงบอกธรรมแก้ให้ ตื่นรู้เห็นธรรม ๚ะ๛
๗ สิงหาคม ๕๖
๕๖.
ว่าด้วย : ราหุลบรรพชา
–๏–
๏ ประทับกบิลพัสดุ์ได้ เจ็ดวัน
เกิดเหตุการณ์สำคัญ กล่าวไว้
ราหุลยอดหลานขวัญ ถูกจับ บวชนา
เหตุแห่งพิมพาไซร้ อยากได้ขุมทอง ๚ะ
๏ ทรงสนองตอบมอบให้ ปัญญา
ทราบแก่พระเจ้าตา ร่ำไห้
ทูลขอพระศาสดา นับแต่ นี้นา
จงอย่าบวชใครไซร้ ก่อนได้มอบถวาย ๚ะ๛
๗ สิงหาคม ๕๖
๕๗.
ว่าด้วย : อนาถปิณฑิกเศรษฐี
สร้างวัดเชตวันมหาวิหารถวาย
–๏–
๏ อนาถะเศรษฐีเกิดแล้ว ปัญญา
จิตมากด้วยศรัทธา แก่กล้า
สำเร็จซึ่งโสดาฯ ทูลเสด็จ โปรดนา
สาวัตถีแหล่งค้า มากด้วยผู้คน ๚ะ
๏ พระทศพลรับแล้ว อาราธนา
ท่านเศรษฐีมุ่งหน้า ก่อนไซร้
เชตวันถูกสถาปนา เป็นวัด รอนา
เจ้าเชตแบ่งขายให้ ค่าซื้อทองคำ ๚ะ
๏ นำทองปูทั่วได้ ขายขาด
ท่านเศรษฐีสามารถ หว่านซื้อ
เจ้าเชตออกประกาศ ใช้ชื่อ ตนนา
ท่านเศรษฐีไม่ยื้อ จิตพร้อมยอมพลัน ๚ะ
๏ เชตวันชื่อนี้ เรียกขาน
เป็นเขตมหาวิหาร ใหญ่กว้าง
ทรงประทับอยู่นาน หลายสิบ ปีนา
บุญเศรษฐีได้สร้าง ก่อนสิ้นอายุขัย ๚ะ๛
๗ สิงหาคม ๕๖
๕๘.
ว่าด้วย : ศากยราช ๖ พระองค์ออกบวช
–๏–
๏ หกพระองค์บุตรเจ้า ศากยะ
มีภัททิยะอนุรุทธะ กษัตริย์เชื้อ
อานันทะกิมพิละ พระภัค คุนา
เทวทัตอีกหน่อเนื้อ บวชแล้วพร้อมกัน ๚ะ
๏ ครั้งนั้นทาสรับใช้ อุบาลี[๗๑]
ออกบวชด้วยทันที พรั่งพร้อม
อุบาลีบวชก่อนดี เห็นชอบ ธรรมนา
ช่วยจิตเกิดอ่อนน้อม ลดได้ตัวตน ๚ะ
๏ พระทศพลบอกชี้ ทางลัด
ต่างแจ่มแจ้งเห็นชัด ผ่านไซร้
เว้นแต่พระเทวทัต ไม่หลุด พ้นนา
ยึดแค่ฌานโลกีย์ไว้ ห่อนได้ปัญญา ๚ะ
๏ ความอิจฉาเกิดแล้ว ในใจ
เทวทัตคิดผิดไป ต่ำช้า
หวังลาภเที่ยวก่อภัย ให้แก่ ตนนา
หลอกอชาตศัตรูคิดบ้า ฆ่าได้พ่อตน ๚ะ
๏ หวังผลเป็นใหญ่ไซร้ ครองสงฆ์
บอกพระองค์ลาลง มอบให้
วางแผนฆ่าพระองค์ ยุแยก สงฆ์นา
ถูกแผ่นดินสูบไซร้ เหตุด้วยอิจฉา ๚ะ๛
๗ สิงหาคม ๕๖
๕๙.
ว่าด้วย : พระเจ้าอชาตศัตรูทรงเป็นพุทธมามกะ
–๏–
๏ อชาตศัตรูก่อไว้ บาปกรรม
เหตุเชื่อพระระยำ ชั่วช้า
บาปหลอนหลอกทิ่มตำ เช้าค่ำ ทุกข์นา
พลังแห่งธรรมดับบ้า ช่วยให้เบิกบาน ๚ะ
๏ ทรงให้ทานก่อสร้าง ความดี
หวังลบล้างอัปรีย์ ก่อไว้
มอบกายมอบชีวี อุทิศ ศาสน์นา
พึ่งพระรัตนตรัยไซร้ สุขแท้ไพบูลย์ ๚ะ๛
๘ สิงหาคม ๕๖
๖๐.
ว่าด้วย : พระพุทธบิดาประชวร และนิพพาน
–๏–
๏ ทรงประทับนั่งใกล้ บิดา
ทรงเสด็จอยู่รักษา ป่วยไข้
ทรงมอบซึ่งปัญญา ให้ดับ ทุกข์นา
ทรงช่วยสำเร็จไซร้ ลุแล้วอรหันต์ ๚ะ
๏ คุณอนันต์สำเร็จแล้ว ตอบแทน
ส่งสู่นิพพานแดน เสร็จสิ้น
วัฏฏะ[๗๒] ดุจวงแหวน เปลื้องปลด ให้นา
หมู่ญาติร่ำไห้ดิ้น ปลอบให้จางคลาย ๚ะ
๏ ถวายพระเพลิงพระแก้ว บิดา
ทรงจัดแจงจัดหา จัดให้
น้อมถวายเพื่อบูชา ซึ่งพระ คุณนา
ประกาศกตัญญูไซร้ ทั่วหล้าได้เห็น ๚ะ๛
๘ สิงหาคม ๕๖
๖๑.
ว่าด้วย: พระนางปชาบดีออกบวชเป็นพระภิกษุณี
–๏–
๏ ปชาบดี[๗๓] จิตน้อม บรรพชา
ทูลต่อพระศาสดา บวชให้
ทรงขัดปัดศรัทธา ไม่บวช ให้นา
ทรงโศกเศร้ามากไซร้ ออกแล้วติดตาม ๚ะ
๏ ความทราบถึงท่านเข้า อานนท์
ไม่อาจหลบอาจทน อยู่ได้
ทูลต่อพระทศพล ควรบวช ให้นา
หากบวชกิเลสร้าย ดับได้เช่นชาย ๚ะ
๏ หลายเกณฑ์หลายกฏห้าม ครุธรรม
หากยึดถือยอมทำ บวชได้
แปดกฏแปดข้อจำ เป็นกฏ ห้ามนา
หากผิดเกิดโทษร้าย เสื่อมได้ศาสนา ๚ะ
๏ ปชาบดีบวชแล้ว ไม่นาน
เกิดซึ่งปัญญาญาณ ผ่องแผ้ว
พิมพาตัดสงสาร ออกบวช ด้วยนา
ภิกษุณีเกิดแล้ว ทั่วทั้งมณฑล ๚ะ๛
๘ สิงหาคม ๕๖
๖๒.
ว่าด้วย : ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์
–๏–
๏ เหตุเศรษฐีป่าวร้อง ท้าทาย
วางซึ่งกลอุบาย อยากรู้
แก่นจันทร์ค่ามากมาย ทำบาตร ไว้นา
หากเก่งจงเหาะกู้ รับได้ปลายเสา ๚ะ
๏ หากเหาะเอาเชื่อแล้ว อรหันต์
ประกาศครบหกวัน เงียบไซร้
พระโมคฯ[๗๔] ทราบข่าวพลัน ให้พระ เหาะนา
ท่านเศรษฐีถวายให้ ข่าวฟุ้งทั่วเมือง ๚ะ
๏ เรื่องเหาะทรงล่วงรู้ ติเตียน
ห้ามซึ่งพระริเรียน เล่นไซร้
ข่าวห้ามพวกพาเหียร รู้ทั่ว กันนา
ประกาศทั่วเมืองไว้ เพื่อท้าลองดี ๚ะ
๏ ได้ทีคิดข่มแล้ว ศาสดา
หวังเรียกคืนศรัทธา กลับไซร้
พระองค์ทราบปัญหา แสดงซึ่ง ยมกนา
ปราบซึ่งเดียรถีย์ให้ พ่ายแพ้สยบยอม ๚ะ๛
๘ สิงหาคม ๕๖
๖๓.
ว่าด้วย : เสด็จโปรดพุทธมารดา ณ ดาวดึงส์
–๏–
๏ ปาฏิหาริย์ผ่านพ้น ปัญหา
ทรงเสด็จโปรดมารดา ตรัสไว้
อยู่ตลอดหนึ่งพรรษา แสดงซึ่ง ธรรมนา[๗๕]
ณ ภพดาวดึงส์ไซร้ ตรัสชี้ธรรมเนียม ๚ะ
๏ ทรงเตรียมเสด็จกลับแล้ว โลกมนุษย์
หน้าที่ทรงสิ้นสุด กล่าวไว้
มารดาลุวิมุตติ ได้มรรค ผลนา
วันออกพรรษาไซร้ เสด็จแล้วจากสวรรค์ ๚ะ๛
๘ สิงหาคม ๕๖
๖๔.
ว่าด้วย : วันเทโวโรหนะ พระพุทธเจ้าเปิดโลก
เสด็จกลับจากดาวดึงส์เทวโลก[๗๖]
–๏–
๏ โมคคัลลาบอกแจ้ง ข่าวดี
ชาวโลกต่างเปรมปรีด์ ตื่นเต้น
เขตสังกัสสะธานี ที่เสด็จ กลับนา
หนึ่งค่ำทรงหลีกเร้น เสด็จแล้วฉับพลัน ๚ะ
๏ จากสวรรค์สู่ภาคพื้น เมืองมนุษย์
ขบวนเสด็จวิเศษสุด เพริศแพร้ว
พรหมเทพเหล่ายักษ์ครุฑ ต่างแวด ล้อมนา
ทรงเสด็จบันไดแก้ว เปิดแล้วภพสาม ๚ะ
๏ ความพิศดารกล่าวไว้ อัศจรรย์
ทุกภพภูมิเห็นกัน ทั่วหน้า
เปิดโลกเปิดนรกสวรรค์ เห็นชัด หมดนา
คนหลั่งไหลมืดฟ้า กราบไหว้บูชา ๚ะ๛
๘ สิงหาคม ๕๖
๖๕.
ว่าด้วย : ลำดับพรรษายุกาล
–๏–
๏ นับกาลแรกเริ่มต้น พรรษา
ทรงประทับอยู่ป่า อิสิฯ[๗๗] ไซร้
สองสามสี่เวฬุวนา ห้าที่ กุฏาฯ[๗๘] แฮ
ที่หกมกุลบรรฯ[๗๙] ใกล้ เขตแคว้นไพศาฯ[๘๐] ๚ะ
๏ พรรษาที่เจ็ดนั้น ดาวดึงสา
ประทับเภสลาฯ[๘๑] แปดไซร้
เก้าประทับโฆสิตาฯ[๘๒] ที่สิบ ปาลิไลย์ฯ[๘๓] แล
สิบเอ็ดพราหมณ์ขอไว้ อยู่บ้านนาลายฯ ๚ะ
๏ สิบสองไม้ร่มต้น ปจิฯ[๘๔]
ที่สิบสามจาลิย์ฯ[๘๕] กล่าวไว้
สิบสี่เชตวันวิฯ[๘๖] สาวัต ถีนา
ที่สิบห้านิโครธไซร้ โปรดแล้วญาติกา ๚ะ
๏ พรรษาสิบหกนั้น อัคคาฯ[๘๗]
สิบเจ็ดเวฬุวนาฯ อีกไซร้
สิบแปดสิบเก้ามา อยู่ที่ จาลิย์ฯ แล
ยี่สิบเวฬุฯ กล่าวไว้ เปลี่ยนย้ายกลับมา ๚ะ
๏ พรรษายี่สิบเอ็ดนั้น อยู่นาน
ยี่สิบสี่รวมกาล นับไว้
ประทับอยู่วิหาร เชตะ วันนา
เสด็จอยู่บุพพาฯ[๘๘] ไซร้ เปลี่ยนย้ายสลับกัน ๚ะ
๏ เชตวันนั้นสิบเก้า พรรษา
อีกหกเสด็จบุพพาฯ กล่าวไว้
สุดท้ายที่ไพศาฯ ก่อนดับ ขันธ์นา
รวมสี่สิบห้าไซร้ ครบถ้วนบริบูรณ์ ๚ะ๛
๙ สิงหาคม ๕๖
๖๖.
ว่าด้วย : พระอัครสาวกทูลลานิพพาน
–๏–
๏ สารีบุตรกราบแล้ว ทูลลา
ขอซึ่งพระตถา คตเจ้า
กลับบ้านเยี่ยมมารดา เพื่อนิพ พานนา
ทรงเสด็จลุกย่างก้าว ส่งแล้วทันที ๚ะ
๏ สารีบุตรกลับแล้ว ถึงเรือน
อยู่กับแม่เป็นเพื่อน ชิดใกล้
เจ็ดวันตอกย้ำเตือน ชี้ดับ ขันธ์นา
ต้องโปรดมารดาให้ แจ่มแจ้งในธรรม ๚ะ
๏ น้ำคำของแม่นั้น มากคุณ
น้ำเลือดนมการุณ ช่วยไว้
น้ำใจยิ่งมากบุญ ชุบหล่อ เลี้ยงนา
โปรดแม่สู่ธรรมไซร้ ชดใช้ไม่พอ ๚ะ
๏ เฝ้ารอจิตแม่นั้น ศรัทธา
จึงมอบแสงปัญญา ส่งให้
พระธรรมเบิกนัยน์ตา ให้สว่าง เห็นนา
เสร็จกิจลูกพระไซร้ ดับแล้วสังขาร ๚ะ
๏ กาลต่อมากล่าวไว้ อีกองค์
พระโมคฯ จิตประสงค์ ละไซร้
เหตุเกิดถูกปองปลง หวังฆ่า ตายนา
กรรมเก่า[๘๙] ส่งผลให้ ชดใช้ทรมาน ๚ะ
๏ เข้าฌานเพื่อหอบหิ้ว สังขาร
ก้มกราบลานิพพาน ดับไซร้
จบสิ้นเหมาะด้วยกาล ควรแก่ ดับนา
ทรงตรัสประทานให้ สู่ห้องแดนธรรม ๚ะ๛
๙ สิงหาคม ๕๖
๖๗.
ว่าด้วย : ทรงปรารภชราธรรม และปลงอายุสังขาร
–๏–
๏ แปดสิบปีล่วงแล้ว พรรษา
พระธาตุขันธ์ศาสดา เสื่อมแล้ว
ดั่งเกวียนเก่าใช้มา ย่อมผุ พังนา
เป็นเช่นนี้ไม่แคล้ว หลีกพ้นความจริง ๚ะ
๏ ทุกสิ่งทรงตรัสไว้ ครบถ้วน
หาขาดตกเชื้อชนวน แก่นไซร้
บัดนี้ถูกรบกวน โรคบีบ คั้นนา
หากบ่มอิทธิบาท[๙๐] ไว้ อยู่ได้อีกนาน ๚ะ
๏ อาการเจ็บป่วยไข้ ธรรมดา
หาเลือกองค์ศาสดา ยกเว้น
ถึงเขตแห่งเวลา ทุกธาตุ ขันธ์นา
ย่อมแตกสลายตรัสเน้น บอกแล้วอานนท์ ๚ะ
๏ มารดลจิตปิดกั้น อานนท์
ลืมคิดลืมฉุกฉงน ห่อนไซร้
ลืมขอต่อพระชนม์ ให้อยู่ ต่อนา
มารต่างคอยท่าไว้ บอกให้นิพพาน ๚ะ
๏ มารถือสิทธิ์กล่าวอ้าง ทันควัน
เคยรับสัญญามั่น ตรัสไว้
หากสอนทั่วครบครัน ธรรมแผ่ ขยายนา
จะละสังขารไซร้ บัดนี้ถึงกาล ๚ะ
๏ ทรงประทานรับแล้ว อาราธนา
ต่อแต่นี้สามเดือนลา ละไซร้
ทรงเสด็จสู่ปาวา เพื่อโปรด สัตว์นา
หมู่เทพรู้ร่ำไห้ โศกเศร้าอาลัย ๚ะ๛
๑๐ สิงหาคม ๕๖
๖๘.
ว่าด้วย : ทรงแสดงอภิญญาเทสิตธรรม
ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงด้วยพระปัญญาอันยิ่ง
หมายถึง โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ[๙๑]
–๏–
๏ แก่นธรรมตรัสครบแล้ว พึงเรียน
จงขุดค้นพากเพียร เสพไว้
พรหมจรรย์จะเสถียร จักมั่น คงนา
ตั้งอยู่ตลอดกาลไซร้ โลกนี้สงบเย็น ๚ะ
๏ จักเป็นไปเพื่อเกื้อ กูลโลก
ประโยชน์สุขมหาโชค เกิดไซร้
ดับกิเลสทุกข์โศก แก่มนุษย์ เทพนา
ยังหมู่มหาชนให้ หมดสิ้นปัญหา ๚ะ
๏ ปัญญาธรรมตรัสแล้ว ครบครัน
โพธิปักขิยะนั้น ผ่องแผ้ว
ศึกษาทุกบทขัณฑ์ ย่อมดับ ทุกข์นา
ทุกธาตุขันธ์เสื่อมแล้ว แต่ล้วนอนิจจัง ๚ะ
๏ ยังประโยชน์โลกให้ เกิดผล
อีกประโยชน์ของตน อย่าช้า
สิ่งใดเกิดกุศล รีบเร่ง คว้านา
กาลล่วงสามเดือนหน้า จักได้ดับขันธ์ ๚ะ
๏ มนุษย์สัตว์นั้นแต่ล้วน ต้องตาย
หนุ่มแก่รวยดีร้าย ทั่วหน้า
หม้อดินย่อมแตกสลาย เปรียบเช่น เรานา
ผู้ไม่ประมาทบ้า ละได้สงสาร ๚ะ๛
๑๓ สิงหาคม ๕๖
๖๙.
ว่าด้วย : บิณฑบาตครั้งสุดท้าย[๙๒]
–๏–
๏ นายจุนทะทราบแล้ว เสด็จมา
รีบจัดเตรียมจัดหา ภัตไว้
น้อมถวายแด่ศาสดา ทรงรับ เสวยนา
เรียกภัตสุดท้ายไซร้ ก่อนเข้านิพพาน ๚ะ
๏ อาการแห่งโรคนั้น บีบคั้น
หลังจากเสวยภัตพลัน เสร็จไซร้
โรคโลหิตปักขันท์ฯ[๙๓] กำเริบ ขึ้นนา
ทรงสงบนิ่งข่มไว้ เสด็จแล้วดำเนิน ๚ะ
๏ ทรงสรรเสริญตรัสไว้ โมทนา
ซึ่งภัตแห่งศรัทธา ก่อไว้
จุนทะสุชาดา เป็นยอด ภัตนา
มากซึ่งผลบุญไซร้ ยกไว้เหนือทาน ๚ะ๛
๑๐ สิงหาคม ๕๖
๗๐.
ว่าด้วย : อนุฏฐานไสยา[๙๔]
ทรงบรรทมสีหไสยา เป็นวาระสุดท้าย
และประทานโอวาทธรรม
–๏–
๏ พระโลกนาถเสด็จแล้ว ตลอดวัน
ข้ามแม่น้ำหิรัญฯ[๙๕] ผ่านไซร้
มุ่งสู่กุสิฯ[๙๖] พลัน เสด็จเรื่อย ต่อนา
เข้าสู่สาละฯ[๙๗] หยุดไว้ พักแล้ววรกาย ๚ะ
๏ อานนท์ถวายนวดให้ เบาเบา
ถูกแดดกล้าแผดเผา เกือบไหม้
ทรงเรียกช่วยนำเอา ผ้าลาด ปูนา
ระหว่างไม้รังไซร้ เสด็จแล้วบรรทม ๚ะ
๏ ทรงห่มผ้าปิดไว้ วรกาย
เป็นท่านอนสุดท้าย พุทธเจ้า
สีหไสย์นิมิตรหมาย ไม่เสด็จ ลุกนา
ต่อแต่นี้ไม่ก้าว เสด็จแล้วดำเนิน ๚ะ
๏ ทรงเจริญสติตื่นรู้ ปล่อยวาง
ทรงเหนื่อยระหว่างทาง มากไซร้
แดดร้อนเริ่มเบาบาง สงฆ์เงียบ สงบนา
ราวถูกมนต์สะกดไว้ ต่างรู้อนิจจัง ๚ะ
๏ ดอกรังร่วงหล่นแล้ว บูชา
เหล่าเทพเสด็จลงมา กราบไหว้
ทรงตรัสเรื่องศรัทธา อามิส ควรนา
ปฏิบัติบูชาได้ แก่นแท้กุศล ๚ะ
๏ สี่ตำบลหากแม้ บูชา
ที่ประสูติศาสดา ตรัสรู้
ที่ปฐมเขตเทศนา ที่นิพ พานนา
มากซึ่งบุญแก่ผู้ เชื่อแล้วนมัสการ ๚ะ
๏ ทั้งสี่สถานแห่งนี้ ผู้ใด
มีจิตเชื่อเลื่อมใส ละแล้ว
มีสุคติที่ไป ไม่ตก นรกนา
เป็นบ่อบุญสถานแก้ว ตรัสไว้ฝากความ ๚ะ
๏ อานนท์ถามเพื่อรู้ แจ้งชัด
ทรงพระเมตตาตรัส บอกไว้
รวมทั้งเรื่องปฏิบัติ ต่อพระ ศพนา
ตามแบบจักรพรรดิไซร้ ตรัสชี้ธรรมเนียม ๚ะ
๏ ส่วนสงฆ์เตรียมเร่งไว้ ความเพียร
หมั่นศึกษาเล่าเรียน มากไว้
ปฏิบัติตัดให้เตียน เพื่อหลุด พ้นนา
เรื่องจัดเตรียมยกให้ กษัตริย์ไซร้ขวนขวาย ๚ะ
๏ ถวายพระเพลิงเสร็จแล้ว นำไป
พระธาตุตั้งทางใหญ่ สถูปสร้าง
คนจากทิศใกล้ไกล ได้กราบ ไหว้นา
บุญเกิดมิโรยร้าง แก่ผู้ศรัทธา ๚ะ๛
๑๒ สิงหาคม ๕๖
๗๑.
ว่าด้วย : ประทานโอวาท
และทรงตรัสสรรเสริญพระอานนท์[๙๘]
–๏–
๏ พระอานนท์ร่ำไห้ ยืนอยู่
แนบชิดข้างประตู โศกเศร้า
คิดสังเวชอดสู ความโง่ ตนนา
คอยติดตามนั่งเฝ้า ห่อนรู้เห็นธรรม ๚ะ
๏ กรรมหนอกรรมร่ำไห้ เสียใจ
พระจะจากลาไกล ละแล้ว
ยังติดขัดสงสัย ไม่หลุด พ้นนา
ภพชาติคงไม่แคล้ว เกิดแล้วเวียนวน ๚ะ
๏ พระทศพลล่วงรู้ ตรัสเตือน
การแตกสลายย่อมเหมือน ทั่วหน้า
อีกไม่กี่วันเดือน ท่านย่อม ลุนา
หาใช่เรื่องล้าช้า อย่าได้กังวล ๚ะ
๏ พระทศพลตรัสชี้ สรรเสริญ
หายากผู้ฉลาดเกิน ท่านไซร้
อานนท์ร่วมออกเผชิญ สุขทุกข์ ตลอดนา
เบาหนักล้วนรับไว้ รอบรู้เหตุการณ์ ๚ะ
๏ ธรรมทานท่านกล่าวได้ งดงาม
ทั้งกษัตริย์แพทย์พราหมณ์ แซ่ซ้อง
ต่างล้วนเชื่อฟังความ ไม่เบื่อ ท่านนา
ทรงประกาศเกียรติก้อง เลิศแล้วอานนท์ ๚ะ๛
๑๒ สิงหาคม ๕๖
๗๒.
ว่าด้วย : พระอานนท์ทูลเสด็จปรินิพพานที่เมืองอื่น
–๏–
๏ พระอานนท์นั่งใกล้ อุปัฏฐาก
ทูลบอกกลัวลำบาก ยากไซร้
กุสิฯ[๙๙] คับแคบมาก ควรเปลี่ยน ย้ายนา
ที่นิพพานเมืองใกล้ ใหญ่กว้างมากมี ๚ะ
๏ ทรงตรัสชี้ผิดแล้ว อานนท์
แต่ก่อนกุสิฯ คน มากไซร้
เป็นเมืองใหญ่มหาชน สงบสุข เจริญนา
ต่างยึดคุณธรรมไว้ ก่อสร้างทางสวรรค์ ๚ะ
๏ ครั้นแล้วทรงตรัสให้ แจ้งข่าว
ถึงเหล่ามัลลกษัตริย์เจ้า ทราบไว้
กษัตริย์ต่างทราบเรื่องราว ทรงเสด็จ เฝ้านา
ล้วนโศกเศร้าร่ำไห้ กราบไหว้บูชา ๚ะ๛
๑๒ สิงหาคม ๕๖
๗๓.
ว่าด้วย : โปรดสุภัททปริพาชก ปัจฉิมสาวก[๑๐๐]
–๏–
๏ ปริพาชกชื่อนั้น สุภัททะ
ท่องเที่ยวไม่ลดละ ซักไซร้
ทุกครูทุกสมณะ ทั่วทุก ทิศนา
ไม่อาจแก้ดับให้ หมดสิ้นกังขา ๚ะ
๏ หวังเข้าหากราบไหว้ ทูลถาม
เพื่อแจ่มแจ้งเนื้อความ ขัดข้อง
อานนท์บอกห้ามปราม ควรงด ไว้นา
ทรงตรัสประกาศก้อง อย่าได้ห้ามเลย ๚ะ
๏ ทรงเฉลยชัดทุกข้อ ไต่ถาม
หากเชื่อปฏิบัติตาม หลุดพ้น
อรหันต์เกิดทุกยาม ไม่หมด โลกนา
มรรคแปดนี้เลิศล้น แก่นแท้พรหมจรรย์ ๚ะ
๏ ทรงตรัสพลันแจ่มแจ้ง เบิกบาน
สุภัททะต้องการ บวชให้
บวชแล้วชั่วอึดกาล จิตหลุด พ้นนา
เป็นปัจฉิมบุตรไซร้ ล่วงรู้ทันกาล ๚ะ๛
๑๒ สิงหาคม ๕๖
๗๔.
ว่าด้วย : โปรดให้ลงพรหมทัณฑ์พระฉันนะ
–๏–
๏ อานนท์คิดกลัดกลุ้ม กังวล
ฉันนะสุดเกินทน บอกไซร้
เป็นข้าเก่าถือตน ไม่เชื่อ ฟังนา
หากปล่อยปละทิ้งไว้ ก่อได้ปัญหา ๚ะ
๏ พระศาสดาตรัสให้ ลงทัณฑ์
งดเกี่ยวข้องกวดขัน ปล่อยไว้
งดร่วมอยู่ร่วมฉัน อย่าบอก สอนนา
จิตอาจสำนึกไซร้ เปลี่ยนได้สันดาน ๚ะ๛
๑๒ สิงหาคม ๕๖
๗๕.
ว่าด้วย : พระธรรมวินัย คือ องค์ศาสดาแทนพระองค์
–๏–
๏ พระศาสดาตรัสให้ โอวาท
หากภิกษุประมาท คิดไซร้
เที่ยวหาท่านผู้ฉลาด ประกาศ ตนนา
เป็นพระศาสดาไว้ แต่งตั้งผู้นำ ๚ะ
๏ ธรรมวินัยสิ่งนี้ ศาสดา
จงอย่าเที่ยวค้นหา ผิดไซร้
ทุกบททุกมาตรา บัญญัติ ไว้นา
เคารพรักษาไว้ เทียบได้พระองค์ ๚ะ๛
๑๒ สิงหาคม ๕๖
๗๖.
ว่าด้วย : ปัจฉิมโอวาท
–๏–
๏ ทรงตรัสเตือนตอกย้ำ สุดท้าย
ว่าทุกสิ่งทั้งหลาย เสื่อมไซร้
ย่อมแตกดับลับหาย ทุกธาตุ ขันธ์นา
จงอย่าประมาทไว้ จักได้สิ้นกรรม ๚ะ๛
๑๒ สิงหาคม ๕๖
๗๗.
ว่าด้วย : เสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน[๑๐๑]
–๏–
๏ เพ็ญเดือนหกเสด็จแล้ว นิพพาน
ใกล้รุ่งราตรีกาล ผ่านไซร้
ออกจากจตุตถฌาน เสด็จดับ ขันธ์นา
หมู่มนุษย์เทพร่ำไห้ โศกเศร้าอาลัย ๚ะ
๏ แผ่นดินไหวเกิดแล้ว อัศจรรย์
เพลงทิพย์บันลือลั่น กึกก้อง
ท้าวสักกะแห่งสวรรค์ ประกาศ คุณนา
สรรพสิ่งล้วนแต่ต้อง เกิดแล้วดับสลาย ๚ะ
๏ ดอกไม้ทิพย์กลิ่นฟุ้ง โปรยปราย
ปลิวว่อนบูชาถวาย ทั่วฟ้า
แสงทิพย์พุ่งกระจาย สาดส่อง ทั่วนา
มนุษย์เทพทุกทั่วหน้า ต่างร้องคร่ำครวญ ๚ะ
๏ เจ็ดวันถ้วนครบแล้ว บูชา
พระกัสสปวันทา เสร็จสิ้น
เตโชธาตุเทวา ลุกท่วม ทั่วนา
มนุษย์เทพต่างร้องดิ้น หมดสิ้นแสงธรรม ๚ะ๛
๑๓ สิงหาคม ๕๖
เชิงอรรถ.-
[๑] สุเมธดาบส ได้รับพุทธพยากรณ์จากพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า
ว่าจะได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า
[๒] ปัญจมหาวิโลกนะ ข้อควรตรวจดูก่อนเสด็จจุติ ๕ ประการ
กาล ทวีป ประเทศ ตระกูล มารดา
[๓] พระนางสิริมหามายา เป็นพระพุทธมารดา
[๔] ศัพท์เต็มนิยมเรียกว่า สวนลุมพินีวัน ปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศเนปาล
[๕] อาสภิวาจา วาจาแสดงความเป็นผู้ประเสริฐ
ทรงประสูติแล้วเสด็จดำเนินได้ ๗ ก้าว แล้วทรงตรัสประกาศไว้
[๖] ประสูติได้ ๕ วัน ทำพระราชพิธีโสรจสรงองค์ และถวายพระนาม มี ๒ พระนาม คือ อังคีรส เพราะมีพระรัศมีโอภาสออกจากพระสรีรกาย ๑ สิทธัตถะ เพราะพระกุมารต้องพระประสงค์สิ่งใด สิ่งอันนั้นจะต้องพลันได้ดั่งพระประสงค์ ๑ แต่มหาชนนิยมเรียกตามพระโคตรว่า โคตมะ
[๗] พราหมณ์ทั้ง ๘ พยากรณ์เป็นสองนัยว่า ถ้าอยู่ครองฆราวาสจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ถ้าออกบวชจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยกเว้นโกณฑัญญพราหมณ์หนุ่มที่พยากรณ์ว่า จะต้องเสด็จออกบวชและตรัสรู้เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น
[๘] กบิลพัสดุ์ ตั้งชื่อเมืองตามชื่อของกบิลดาบส
[๙] พระนางพิมพา เป็นพระธิดาของพระเจ้าสุปปพุทธะ
เจ้าเมืองกรุงเทวทหนคร น้องสาวของพระเทวทัต
[๑๐] เทวทูตทั้ง ๔ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ
ซึ่งเทพยดานิรมิตให้ทอดพระเนตรในขณะเสด็จประพาสนคร
[๑๑] อาฬารดาบส ทรงสำเร็จสมาบัติ ๗ คือ รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๓
[๑๒] อุทกดาบสรามบุตร ทรงสำเร็จสมาบัติ ๘ เพิ่มเป็นอรูปฌาน ๔
[๑๓] อุรุเวลาเสนานิคม
[๑๔] บำเพ็ญทุกกรกิริยา เป็นกิจยากที่บุคคลจะกระทำได้ ด้วยการทรมานเป็น ๓ วาระ
[๑๕] ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ มี พระโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ พระอัสสชิ
[๑๖] ศัพท์เต็มว่า อานาปานสติ การกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก
[๑๗] พระอินทร์ทรงดีดพิณถวาย
[๑๘] ป่าอิสิปตนมิคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี
[๑๙] ในยามราตรีของคืนวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ ขณะที่พระบรมโพธิสัตว์บรรทมหลับจนเวลาใกล้รุ่ง ทรงสุบินนิมิต ๕ ประการ คือ
๑.ทรงสุบินนิมิตว่า นอนหงายบนพื้นปฐพี มีภูเขาหิมพานต์เป็นเขนยพระพาหาซ้ายจมลงไปในมหาสมุทรทิศบูรพา พระพาหาขวาหยั่งลงไปในมหาสมุทรด้านทิศปัจฉิม
และพระบาททั้งสองหยั่งลงไปในมหาสมุทรด้านทิศทักษิณ
๒.ทรงสุบินนิมิตว่า มีหญ้าแพรกเส้นหนึ่งงอกขึ้นจากพระนาภี(สะดือ) สูงขึ้นไปถึงท้องฟ้า
๓.ทรงสุบินนิมิตว่า หมู่หนอนเป็นอันมากมีสีขาวบ้างสีดำบ้าง
ไต่ขึ้นมาจากปลายพระบาททั้งคู่ ปิดลำพระชงฆ์(แข้ง) ตลอดจนถึงพระชานุ(เข่า)
๔.ทรงสุบินนิมิตว่า ฝูงนก ๔ จำพวก มีสีต่างๆ กัน คือ สีเหลือง เขียวแดงและสีดำ
บินมาจากทิศทั้ง ๔ ลงมาหมอบแทบพระบาท แล้วกลับกลายเป็นสีขาวไปหมดทั้งสิ้น
๕.ทรงสุบินนิมิตว่า พระองค์เสด็จขึ้นไปเดินจงกรมบนยอดภูเขาที่เปรอะเปื้อนเต็มด้วยมูตรคูถ(ปัสสาวะอุจจาระ) แต่พระบาทของพระองค์ มิได้เปื้อนด้วยสิ่งเหล่านั้นเลย
เมื่อทรงตื่นจากบรรทมแล้ว พระองค์ก็เริ่มพยากรณ์ไปตามลำดับว่า
สุบินนิมิตข้อที่ ๑ เป็นนิมิตว่า พระองค์จะได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ
เป็นผู้เลิศในโลก ทั้ง ๓ ได้แก่ กามโลก รูปพรหมโลกและอรูปพรหมโลก
สุบินนิมิตข้อที่ ๒ เป็นนิมิตว่า พระองค์จะได้ทรงประกาศพระธรรมเทศนา
อริยมรรคมีองค์ ๘ แก่เทวดา และมนุษย์ทั้งปวง
สุบินนิมิตข้อที่ ๓ เป็นนิมิตว่า หมู่คฤหัสถ์ พราหมณ์และชนทั้งหลาย
ที่นุ่งผ้าขาวจะมาสู่สำนักของพระองค์และดำรงอยู่ในไตรสรณคมน์
สุบินนิมิตข้อที่ ๔ เป็นนิมิตว่า วรรณะทั้ง ๔ เมื่อสละเพศฆราวาสมาบรรพชาในพระธรรมวินัย
และจะได้บรรลุวิมุตติธรรมอันประเสริฐบริสุทธิ์หมดจดผ่องใสโดยเท่าเทียมกัน
สุบินนิมิตข้อที่ ๕ เป็นนิมิตว่า พระองค์จะบริบูรณ์ด้วยลาภสักการะ
ที่ชาวโลกทั่วทุกทิศพากันนำมาถวายด้วยศรัทธาเลื่อมใส
แต่พระองค์มิได้มีพระทัยติดอยู่ในลาภสักการะเหล่านั้นให้เป็นมลทินแม้แต่น้อย
[๒๐] ข้าวมธุปายาส เป็นข้าวที่หุงด้วยนมวัว มีกรรมวิธีทำหลายขั้นตอน
[๒๑] ไม้สาละก็เรียก
[๒๒] เดิมชื่อว่าต้น “อัสสัตถพฤกษ์”
แต่ที่เรียกกันว่าต้นพระศรีมหาโพธิ์เพราะพระโพธิสัตว์ตรัสรู้ใต้ต้นไม้ชนิดนี้
ด้วยเหตุนี้คำว่า “ต้นพระศรีมหาโพธิ์” จึงไม่ใช่ชื่อพันธุ์ของต้นไม้
ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ใต้ต้นอะไร ต้นไม้นั้นก็จะได้ชื่อว่า
“ต้นพระศรีมหาโพธิ์” ทั้งสิ้น เป็นต้นไม้สหชาติ
ต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นปัจจุบัน ที่ขึ้นอยู่
ณ สถานที่ตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ตำบลพุทธคยา
เป็นต้นที่ ๔ ซึ่งแตกหน่อมาจากต้นเดิมปัจจุบันมีอายุร้อยกว่าปี
[๒๓] บารมี ๑๐ หรือ ทศบารมี แปลว่า ปฏิปทาอันยวดยิ่ง,
คุณธรรมที่ประพฤติปฏิบัติอย่างยิ่งยวด
คือ ความดีที่บำเพ็ญอย่างพิเศษ เพื่อบรรลุซึ่งจุดหมายอันสูง
เช่น ความเป็นพระพุทธเจ้า และความเป็นมหาสาวก เป็นต้น
๑ ทาน ๒.ศีล ๓.เนกขัมมะ ๔.ปัญญา ๕.วิริยะ ๖.ขันติ ๗.สัจจะ
๘.อธิษฐาน ๙.เมตตา ๑๐.อุเบกขา บารมีนั้น แบ่งออกเป็น ๓ ขั้น
คือ ๑. บารมี ๒. อุปบารมี ๓. ปรมัตถบารมี
บำเพ็ญทั้ง ๑๐ บารมี ครบ ๓ ขั้นนี้ เรียกว่า สมตึสปารมี
หรือ สมดึงสบารมี แปลว่า บารมี ๓๐ ทัศ
[๒๔] พญาวัสวดีมาร เป็นมารที่คอยขัดขวางการตรัสรู้ธรรม
ตั้งแต่วันออกบวช ก่อนตรัสรู้ และอาราธนาให้เสด็จปรินิพพาน
[๒๕] ฌาน ๔ มี ปฐมฌาน ๑ ทุติยฌาน ๑ ตติยฌาน ๑ จตุตถฌาน ๑
[๒๖] ญาณ ๓ หรือ วิชชา ๓ คือ ความรู้แจ้ง, ความรู้วิเศษ
๑. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ญาณเป็นเหตุระลึกขันธ์ที่อาศัยอยู่ในก่อนได้, ระลึกชาติได้
๒. จุตูปปาตญาณ ญาณกำหนดรู้จุติและอุบัติแห่งสัตว์ทั้งหลาย
อันเป็นไปตามกรรม, เห็นการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์ทั้งหลาย
เรียกอีกอย่างว่า ทิพพจักขุญาณ
๓. อาสวักขยญาณ ญาณหยั่งรู้ในธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย,
ความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะ, ความตรัสรู้
[๒๗] ตัณหา แปลว่า ความทะยานอยาก, ความร่านรน มี ๓ คือ
กามตัณหา ๑ ภวตัณหา ๑ วิภวตัณหา ๑
[๒๘] รัตนบัลลังก์ ประทับเสวยวิมุตติสุขใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์บนพระแท่นวัชรอาสน์สิ้น ๗ วัน
[๒๙] อนิมิสเจดีย์ ที่ทรงประทัยยืนจ้องพระเนตรดูต้นพระศรีมหาโพธิ์สิ้น ๗ วัน ในทิศอีสาน
[๓๐] รัตนจงกรมเจดีย์ ที่ทรงนิรมิตทางเดินจงกรม ๗ วัน ในทิศอุดร
[๓๑] รัตนฆรเจดีย์ ที่เทพยดานิรมิตถวาย ทรงพิจารณาพระอภิธรรมปิฏก
สิ้น ๗ วัน ในทิศปัจฉิมหรือพายัพ
[๓๒] ธิดาพญามาร มี ๓ คน คือ นางตัณหา นางราคา นางอรดี
[๓๓] มุจลินท์ ก็เรียก ตั้งอยู่ทิศบูรพาหรืออาคเนย์
[๓๔] หรือต้นราชายตนะ อยู่ทิศทักษิณ
[๓๕] มิได้เสวยพระกระยาหารนับตั้งแต่กาลตรัสรู้มาได้ ๔๙ วัน
ท้าวสักกะจึงน้อมผลสมออันเป็นทิพยโอสถ เพื่อทรงพระบังคน
[๓๖] ข้าวสัตตุก้อน สัตตุผง
[๓๗] บุคคล ๔ จำพวก คือ
๑. อุคฆฏิตัญญู ผู้รู้เข้าใจได้ฉับพลัน แต่พอท่านยกหัวข้อขึ้นแสดง
๒. วิปจิตัญญู ผู้รู้เข้าใจต่อเมื่อท่านขยายความ
๓. เนยยะ ผู้ที่พอจะแนะนำต่อไปได้
๔. ปทปรมะ ผู้ได้แค่ตัวบทคือถ้อยคำเป็นอย่างยิ่ง ไม่อาจเข้าใจความหมาย
พระอรรถกถาจารย์เปรียบบุคคล ๔ จำพวกนี้กับดอกบัว ๔ เหล่าตามลำดับ คือ
๑. ดอกบัวที่ตั้งขึ้นพ้นน้ำ รอสัมผัสแสงอาทิตย์ก็จะบานในวันนี้
๒. ดอกบัวที่ตั้งอยู่เสมอน้ำ จักบานในวันพรุ่งนี้
๓. ดบัวที่ยังอยู่ในน้ำ ยังไม่โผล่พ้นน้ำจักบานในวันต่อๆ ไป
๔. ดอกบัวจมอยู่ในน้ำที่กลายเป็นภักษาแห่งปลาและเต่า
[๓๘] สติปัฏฐาน ๔ มี
กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ๑
เวนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ๑
จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ๑
ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ๑
[๓๙] ศัพท์เต็มว่า อิสิปตนมฤคทายวัน
[๔๐] ศัพท์เต็มว่า อุปกชีวก
[๔๑] ธัมมจักกัปปวัตนสูตร แสดงถึง ส่วนที่สุดสองอย่าง ที่พระพุทธศาสนาปฏิเสธ
อันได้แก่ “กามสุขัลลิกานุโยค” คือการหมกมุ่นอยู่ในกาม
และ “อัตตกิลมถานุโยค” คือการทรมานตนให้ลำบากโดยเปล่าประโยชน์
มัชฌิมาปฏิปทา คือปฏิปทาทางสายกลางที่พระพุทธองค์
ได้ทรงตรัสรู้ ได้แก่ มรรคมีองค์แปด อริยสัจสี่
คือธรรมที่เป็นความจริงอันประเสริฐสี่ประการ
[๔๒] ศัพท์เต็มว่า ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
[๔๓] ศัพท์เต็มว่า พระธัมมจักกัปวัตตนสูตร
[๔๔] ศัพท์เต็ม พระอัญญาโกณฑัญญะ
หลังได้บรรลุธรรมแล้ว พระองค์ทรงเรียก เพิ่มว่า อัญญา
[๔๕] อริยสัจ ๔ ความจริงอันประเสริฐ
มี ๔ ทุกขอริยสัจ ๑ สมุทัยอริยสัจ ๑ นิโรธอริยสัจ ๑ มรรคอริยสัจ ๑
[๔๖] ขันธ์ ๕ มี รูป๑ เวทนา ๑ สัญญา ๑ สังขาร ๑ วิญญาณ ๑ หรือรูปนามก็เรียก
[๔๗] อริยมรรค ๘ มี สัมมาทิฏฐิ ปัญญาเห็นชอบ ๑ สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ ๑ สัมมาวาจา วาจาชอบ ๑ สัมมากัมมันตะ การงานชอบ ๑ สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีวิตชอบ ๑ สัมมาวายามะ ความเพียรชอบ ๑ สัมมาสติ ระลึกชอบ ๑ สัมมาสมาธิ ตั้งใจชอบ ๑
[๔๘] พระรัตนตรัย แปลว่า แก้วสามประการ มี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
[๔๙] อดีตชาติท่านเคยเป็นสัปเหรอ เผาศพคน
[๕๐] อนุปุพพิกถา ปฏิปทาเบื้องต้น
มี ๕ ทาน ๑ ศีล ๑ สวรรค์ ๑ กามาทีนพ ๑ เนกขัมมานิสงส์ ๑
[๕๑] กามคุณมี ๕ คือ รูป ๑ รส ๑ กลิ่น ๑ เสียง ๑ สัมผัส ๑
[๕๒] พระอรหันต์ชุดแรกที่ส่งไปประกาศพระศาสนามี ทั้งหมด ๖๑ รูป รวมทั้งพระองค์
[๕๓] ศัพท์เต็มว่า อุรุเวลาเสนานิคม
[๕๔] ศัพท์เต็มว่า อุรุเวลาเสนานิคม หรือ อุรุเวลาประเทศ
[๕๕] ศัพท์เต็มว่า อุรุเวลกัสสปะ
[๕๖] ศัพท์เต็มว่า นทีกัสสปะ
[๕๗] ศัพท์เต็มว่า คยากัสสปะ
[๕๘] ศัพท์เต็มว่า เนรัญชรา เป็นชื่อแม่น้ำ
[๕๙] วัดเวฬุวันมหาวิหาร
[๖๐] ศัพท์เต็มว่า พระอุรุเวลกัสสปเถระ
[๖๑] อัครสาวก แปลว่า สาวกผู้เลิศ,
สาวกผู้ยอดเยี่ยม หมายถึง พระสารีบุตร (เป็นอัครสาวกเบื้องขวา)
และพระมหาโมคคัลลานะ (เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย)
[๖๒] อุปติสสะหรือ พระสารีบุตร บวชแล้ว๑๕ วันจึงได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
โกลิตะ หรือ พระโมคคัลลานะ บวชแล้ว ๗ วันจึงได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
[๖๓] ศัพท์เต็มว่า สัญชัยปริพาชก
[๖๔] โอวาทปาติโมกข์ เป็นหลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา
เป็น “ปาติโมกข์” ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงครั้งแรกในวันเพ็ญเดือนมาฆะ (เดือน ๓)
หลังจากตรัสรู้แล้ว ๙ เดือน เป็นการแสดงปาติโมกข์ที่ประกอบด้วยองค์ ๔ เรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต ซึ่งมีเพียงครั้งเดียวในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งๆ
โดยมีเหตุการณ์เกิดขึ้นพร้อมกัน ๔ ประการ
คือ พระสงฆ์สาวกที่มาประชุมพร้อมกันทั้ง ๑,๒๕๐ รูปนั้น
ได้มาประชุมกันยังวัดเวฬุวันโดยมิได้นัดหมาย,
พระสงฆ์ที่มาประชุมทั้งหมดต่างล้วนเป็น “เอหิภิกขุอุปสัมปทา”
หรือผู้ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง,
พระสงฆ์ทั้งหมดที่มาประชุมล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา ๖,
ปัจจุบันเรียกว่าวันมาฆบูชา
[๖๕] ศัพท์เต็มว่า นิโครธาราม
[๖๖] ฝนโบกขรพรรษ เป็นฝนสีแดงที่ใครปรารถนาให้เปียกก็เปียก ไม่ให้เปียกก็ไม่เปียก
[๖๗] บุพพชาติสมัยที่เป็นพระเวสสันดร ทรงแสดงเวสสันดรชาดก
[๖๘] ศัพท์เต็มว่า อนาคามี
[๖๙] พุทธจริยา พระจริยาวัตรปกติของพระพุทธเจ้า
๑. โลกัตถจริยา พระจริยาที่เป็นประโยชน์แก่ชาวโลก
๒. ญาตัตถจริยา คือ พระจริยาที่เป็นประโยชน์แก่พระประยูรญาติ
๓. พุทธัตถจริยา คือ พระจริยาที่เป็นประโยชน์ตามหน้าที่เป็นพระพุทธเจ้า
[๗๐] ศัพท์เต็มว่า โสดาปัตติผล
[๗๑] อุบาลี เป็นช่างตัดผม
[๗๒] วัฏสงสาร มี ๓ กิเลส ๑ กรรม ๑ วิบาก ๑
[๗๓] ศัพท์เต็มว่า พระนางปชาบดีโคตมี เคยเป็นพระน้านาง และแม่นมเลี้ยงดูพระพุทธเจ้า
[๗๔] ศัพท์เต็มว่า พระโมคคัลลานะ ให้ พระปิณโฑลภารทวาชะ
พระหลานชายเหาะไปเอาบาตรไม้แก่นจันทร์
[๗๕] พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงพระอภิธรรมแก่พระมารดาตลอด ๓ เดือน
มิได้หยุดพักเลย ในเวลาภัตตกิจ ก็ทรงเนรมิตพระพุทธเจ้าองค์แทน (พุทธนิมิต)
ให้แสดงพระอภิธรรมแทน สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงอภิธรรมโปรดพุทธมารดา
ตลอดพรรษา กาลเมื่อพระพุทธองค์ ทรงแสดงสัตตปกรณาภิธรรมเทศนาจบลง
องค์พระสิริมหามายาเทวบุตรพุทธมารดา ได้ฟังธรรมจนดวงตาเห็นธรรมแล้ว
ทรงบรรลุโสดาปัตติผลในที่สุด
[๗๖] เทวดาเนรมิตบันไดทอง บันไดแก้ว บันไดเงินถวาย ทรงเสด็จโดยบันแก้ว
[๗๗] ศัพท์เต็มว่า ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
[๗๘] ศัพท์เต็มว่า กูฏาคาร ศาลาป่ามหาวัน ใกล้พระนครไพศาลี
[๗๙] ศัพท์เต็มว่า มกุลบรรพต
[๘๐] ศัพท์เต็มว่า ไพศาลี
[๘๑] ศัพท์เต็มว่า เภสกลาวัน ป่าไม้สีเสียด ใกล้กรุงสุงสุมารคีรี ในภัคคราฐ
[๘๒] ศัพท์เต็มว่า โฆสิตาราม
[๘๓] ศัพท์เต็มว่า ปาลิไลยวันสถาน อาศัยกุญชรชาติชื่อว่า ปาลิไลยหัตถี ทำวัตรปฏิบัติ
[๘๔] ศัพท์เต็มว่า ปจิมมันทพฤกษ์ (ไม้สะเดา)
อันเป็นรุกขพิมานของ นเฬรุยักษ์ใกล้พระนครเวรัญชา บางแห่งเรียก ปุจิมันทพฤกษ์
[๘๕] ศัพท์เต็มว่า จาลิยบรรพต
[๘๖] ศัพท์เต็มว่า พระเชตวันวิหาร
[๘๗] ศัพท์เต็มว่า อัคคาฬวเจดีย์ ใกล้อาฬวีนคร
หลังจากทรงทรมานอาฬวกยักษ์สิ้นพยศแล้ว
[๘๘] ศัพท์เต็มว่า บุพพาราม ของท่านมหาอุบาสิกาวิสาขา สร้างถวาย
[๘๙] ชาติก่อนท่านเคยทุบตีมารดา จึงถูกโจรห้าร้อยคนลอบทำร้าย จนกระดูกแตกทั้งร่าง
[๙๐] อิทธิบาท ๔ ประการ เจริญแล้วสามารถมีอายุถึงกัปหนึ่ง หรือมากกว่านั้นได้
[๙๑] โพธิปักขิยธรรม ๓๗ มี สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔
อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘
[๙๒] นายจุนทะ น้อมถวายสูกรมัทวะ เป็นอาหารที่ทำจากเห็ดชนิดหนึ่งที่ย่อยยาก
[๙๓] ศัพท์เต็มว่า โรคโลหิตปักขันทิกาพาธ ลงพระโลหิต คือ ถ่ายเป็นเลือด
[๙๔] อนุฐานไสยาสน์ เป็นการนอนที่จะไม่เสด็จลุกอีก
[๙๕] ศัพท์เต็มว่า แม่น้ำหิรัญวดี
[๙๖] ศัพท์เต็มว่า กุสินารา
[๙๗] ศัพท์เต็มว่า สาลวัน
[๙๘] พระอานนท์สมัยที่เป็นพุทธอุปัฏฐากสำเร็จแค่พระโสดาบัน
ท่านสำเร็จพระอรหันต์หลังพุทธปรินิพพานแล้ว ก่อนการทำปฐมสังคายนา
ในอริยาบทเอนตัวพัก เพราะท้อต่อการปฏิบัติ
[๙๙] ศัพท์เต็มว่า กุสินารา
[๑๐๐] สุภัททะปริพพาชก เป็นผู้ที่ได้รับยกเว้น
โดยไม่ต้องอยู่ติตถิยปริวาส ก่อนอุปสมบท ติตถิยปริวาส
คือ การกักตัวตามพระวินัยของผู้ที่เคยถือบวชในลัทธิอื่นมาก่อน
[๑๐๑] เมื่อพระบรมศาสดาประทานปัจฉิมโอวาทเป็นวาระสุดท้าย
แล้วก็หยุดมิได้ตรัสอะไรอีกเลย ทรงทำพระนิพพาน
บริกรรมด้วยอนุปุพพวิหารสมาบัติทั้ง ๙ โดยอนุโลม (ตามลำดับ) ดังนี้
ทรงเข้าปฐมฌาน (ฌานที่ ๑ ) ออกจากปฐมฌานแล้ว
ทรงเข้าทุติยฌาน (ฌานที่ ๒) ออกจากทุติยฌานแล้ว
ทรงเข้าตติยฌาน (ฌานที่ ๓) ออกจากตติยฌานแล้ว
ทรงเข้าจตุตถฌาน (ฌานที่ ๔) ออกจากจตุตถฌานแล้ว
ทรงเข้าอากาสานัญจายตนะ ออกจากอากาสานัญจายตนะแล้ว
ทรงเข้าวิญญาณัญจายตนะ ออกจากวิญญาณัญจายตนะแล้ว
ทรงเข้าอากิญจัญญายตนะ ออกจากอากิญจัญญายตนะแล้ว
ทรงเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนะแล้ว
ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ สมาบัติ ๙ อันเป็นนิโรธสมาบัติที่มีอาการสงบที่สุด
ถึงดับสัญญาและเวทนา คือไม่รู้สึก ทั้งกายทั้งใจทุกประการ แม้ลมหายใจเข้าออก
ก็หยุดสงบยิ่งกว่านอนหลับ ผู้ไม่คุ้นเช่นพระอานนท์เข้าใจว่า
พระบรมศาสดาเข้าสู่นิพพานแล้ว แต่พระอนุรุทธเถระผู้เชี่ยวชาญสมาบัติ
ชี้แจงว่าบัดนี้พระพุทธองค์กำลังเสด็จอยู่ใน สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ
จากนั้นพระผู้มีพระภาคจึงเสด็จออกจาก สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ
ถอยเข้าสู่เนวสัญญานาสัญญายตนะ คือถอยตามลำดับจนถึงปฐมยาม
แล้วย้อนจากปฐมยาม ขึ้นไปสู่ทุติยฌาน ตติยฌาน
และจตุตถฌานเป็นลำดับสุดท้าย จึงปรินิพพานอยู่ในฌาน
เป็นธรรมเนียมนิยมทั่วไปเพราะขณะอยู่ในฌาน
อานุภาพของฌานย่อมรักษาตลอดเวลาที่ยังดำรงอยู่ในฌานนั้น ๆ
เป็นการนิพพานโดยไม่ติดในรูปฌานหรือในอรูปฌาน
พระพุทธองค์ทรงเสด็จดับขันธปรินิพพานใต้ต้นสาละ
ณ สาลวโนทยาน ของมัลลกษัตริย์ เมืองกุสินารา
แคว้นมัลละ (ปัจจุบันอยู่ใน เมืองกุสีนคร)
แคว้นอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย สิริรวมพระชนมายุได้ ๘๐ พรรษา ฯ
พระครูปิยธรรมวิเทศ
๒๕ กรกฏาคม ๒๕๕๖
วัดพระมหาชนก บ้านพลังเพียร