ข้อคิด บทกวีข้าวก้นบาตร ๑

๏–––––––๏

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ฯ
นะโมพุทธายะ พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา
พุทโธ อโหสิ ธัมโม อโหสิ สังโฆ อโหสิ
กายกัมมัง อโหสิ วจีกัมมัง อโหสิ มโนกัมมัง อโหสิ
ปาปะกัมมัง อโหสิ อโหสิ อโหสิ
นิพพานะปัจจะโย โหตุ ฯ

ทุกตัวอักษร ทุกบท ทุกตอน ทุกบทกวี ในหนังสือเล่มนี้
ที่สำเร็จแล้วด้วยสติปัญญาอันประกอบแล้วด้วยกุศลจิต
หากเป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้เกิดเป็นบุญ เป็นกุศล
เป็นมรรค เป็นผลต่อบุคคลใด บุคคลหนึ่ง
เพียงเศษเสี้ยวแห่งความดีทั้งปวงแล้วไซร้
ขอน้อมเป็นเครื่องสักการะกราบบูชา กราบขอขมา ขอลาโทษ
ต่อคุณพระพุทโธ พระธัมโม พระสังโฆ ๑
ต่อคุณท่านพ่อครูศรีปราชญ์ ท่านพ่อครูสุนทรภู่ ๑
ต่อคุณนักปราชญ์ราชบัณฑิตในทิศทั้งสี่ ทิศทั้งแปด ๑
ต่อคุณพระพ่อพระแม่ พระอุปัชฌาย์่ ครูบาอาจารย์ ๑
ต่อคุณแห่งข้าว น้ำ ปัจจัยสี่ของโยมญาติมิตร ๑
ต่อคุณแห่งภูมิศีล ภูมิธรรม ภูมิสติ ภูมิปัญญา
ภูมิบารมีของเหล่านักบวช นักบุญ กัลยาณมิตร ๑
ต่อคุณท่านผู้มีคุณ ต่อโลก ต่อแผ่นดิน ต่อพระศาสนาทั่วโลกทั่วจักรวาล ๑
ต่อคุณแห่งเทพไท้เทวา คุณแผ่นดิน แผ่นฟ้า แผ่นน้ำ
คุณธรรมชาติ คุณธาตุทั้งสี่ทุกภพทุกภูมิ ทุกรูป ทุกนาม ๑
ขอทุกรูป ทุกนามที่ได้อ่านแล้ว เห็นแล้ว จับแล้ว
จงรู้สึกตัว รู้รอบตัว รู้ไม่มีตัว
คลี่คลายทิ้ง ผ่องใสทิ้ง สว่างไสวทิ้ง รู้ทิ้ง ตื่นทิ้ง เบิกบานทิ้ง
ไม่อะไรกับอะไร ให้แล้วแล้วไป ผ่านแล้วแล้วไป จบแล้วแล้วไป
ทำหน้าที่ให้ดีที่สุดตามธรรม ตามวินัย ตามสมมติ
ให้บริสุทธิ์งดงาม เป็นประโยชน์ ฉับพลันทันที ด้วยเทอญ ฯ

๏ คำนำ

ด้วยจิตที่คิดแล้ว            หวังดี
จึงพร่ำเตือนบอกชี้          ค่ำเช้า
ขีดเขียนซึ่งบทกวี           ก้นบาตร ไว้นา
หวังแค่หนึ่งคำข้าว          ช่วยให้อิ่มใจ

ใฝ่เขียนเพียรแต่งแต้ม       บทกวี
หาใช่อ้างอวดดี            เก่งไซร้
ปัญญาเท่าที่มี              หากอ่าน รู้นา
แค่อยากฝากฝังไว้          ต่างหน้ากันลืม

ภาษาจิตคิดแล้ว            ถอดความ
เฝ้าฝึกหัดแต่งตาม          ปราชญ์ไซร้
ผู้รู้แต่งงดงาม             อย่าเทียบ ท่านนา
ที่แต่งแต้มเขียนไว้          แค่นี้มันสมอง

นึกอยากลองบอกชี้          เส้นทาง
จึงเปิดแผนที่กาง           บอกไซร้
อาจเห็นแค่ลางๆ           ไม่ชัด แจ้งนา
ขอแค่รู้ทิศไว้              ย่อมสิ้นสงสัย

ในลายแทงบอกแล้ว         ขุมทอง
ขาดแต่สายตามอง          ขุดค้น
ทุกบทหากไตร่ตรอง         อาจพบ ค่านา
กวีแค่จุดเริ่มต้น            ช่วยชี้บอกทาง

บางตอนบางบทนั้น          คลุมเครือ
ขออย่าด่วนรีบเชื่อ          อาจม้วย
บางบทอาจน่าเบื่อ          ขออย่า เครียดนา
เห็นผิดช่วยบอกด้วย         กราบเท้าโมทนา

เวลาเหลืออยู่น้อย          เต็มที
จึงรวบรวมบทกวี           มอบให้
ฝากแด่มิตรไมตรี           ไว้อ่าน เล่นนา
เป็นสิ่งแทนใจไว้           ก่อนสิ้นลมปราณ ฯ

ความเพียรเป็นตัวสำเร็จ
พระครูปิยธรรมวิเทศ
๒๕๕๗-๒๕๕๙

๏ วัดพระมหาชนก บ้านพลังเพียร

วัด คือ แดนบุญที่สร้าง        บารมี
พระ หน่อเนื้อชินสีห์          บ่มไว้
มหา ชาติเกิดมาดี           สำเร็จ
ชนก โพธิสัตว์ไซร้           ยิ่งด้วยความเพียร

บ้าน แหล่งเรียนรู้ซึ่ง         มรรคผล
พลัง เพิ่มพูนฝึกฝน           แกร่งกล้า
เพียร เฝ้าฝึกจิตตน          เช้าค่ำ
ประโยชน์สุขทั่วหล้า          หน่อเนื้อแดนธรรม ฯ

๏ บ้านพลังเพียร

บ้าน คือที่อยู่สร้าง           บารมี
พลัง ก่อเกิดความดี          ค่ำเช้า
เพียร เร่งทุกนาที           เพาะบ่ม จิตนา
อยู่เพื่อลุกย่างก้าว           ต่อสู้หมู่มาร ฯ

๏ อานิสงส์ของมาร

มารไม่มี จะดีเลิศ เกิดไม่ได้
มารไม่ร้าย จะได้ดี มีที่ไหน
มารไม่ขวาง จะเห็นทาง ได้อย่างไร
มารไม่ใหญ่ จะรู้ไหม ว่าใครดี

มารไม่มี บารมีลด หมดคุณค่า
มารไม่มา ปัญญาอับ ดับศักดิ์ศรี
มารไม่บุก ก็หมดสนุก เสียสุขฟรี
มารไม่ดี จะมีอะไร วัดใจเรา ฯ

๏ ความเพียรเป็นตัวสำเร็จ

บนเส้นทางที่เหนื่อยล้า
บนปัญหาที่ยากแก้ไข
บนความเหนื่อยท้อท่วมหัวใจ
บนทุกข์ภัยแสนยาวนาน

จงอย่าได้ท้อแท้ใจ
จงอย่าหวั่นไหวสะทกสะท้าน
จงอย่าละทิ้งอุดมการณ์
จงอย่าพาลโทษใคร ๆ

จงยิ้มสู้และอดทน
จงตัดความกังวลทิ้งไป
จงปลุกขวัญกำลังใจ
จงมีพระรัตนตรัยไว้นำทาง

ล้มแล้วลุกยืนยิ้มไว้
ก้าวต่อไปอย่าได้วาง
อุปสรรคที่ขัดขวาง
ย่อมเปิดทางให้พลังเพียร ฯ

๏ อโหสิ

อย่าถือสา ด่าได้ หากหายโกรธ
อย่าถือโทษ โกรธเคือง เรื่องเหลวไหล
แค่บทกลอน สอนเตือน เป็นเพื่อนใจ
ขออภัย หากพลาด บาดอารมณ์

หวานเป็นลม ขมยา ท่านว่าไว้
ฝืนกินไป โรคร้าย หายสุขสม
ชอบแค่หวาน นานไป ใจโสมม
จะตรอมตรม ขมขื่น กลืนน้ำตา

ภาษาธรรม จำไว้ ใช่คำหวาน
เพราะต้องการ สมานแผล แก้ปัญหา
ต้องทนเจ็บ เก็บเติม เสริมปัญญา
กินเป็นยา ฆ่าเชื้อ ที่เรื้อรัง ฯ

๏ ทำเพื่อธรรม

ทำเพื่อผล คนว่าดี อัปรีย์นัก
เพื่อคนรัก กราบบูชา น่าอดสู
เพื่อเด่นดัง หวังได้ลาภ บาปน่าดู
เพื่อตัวกู ดูสมเพช ทุเรศเกิน

ทำเพื่อธรรม นำสู่ทาง สว่างไสว
เพื่อจิตใจ ไม่ตัณหา น่าสรรเสริญ
เพื่อมรรคผล ตนสงบเย็น เป็นทางเดิน
เพื่อโลกเจริญ เมินบาปกรรม ทำถูกทาง ฯ

๏ บทภาวนาเพื่อพระนิพพาน

นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ ฯ
ไม่ยึดมั่นถือมั่น อะไรๆในโลก ฯ

ไม่เป็นอะไร กับอะไร ให้ใจยุ่ง
ไม่ปรุงอะไร กับอะไร ให้ใจหลง
ไม่สงสัยอะไร กับอะไร ให้ใจงง
จงรีบปลงอะไร กับอะไร ให้ใจเบา

ไม่ยึดมั่นอะไร กับอะไร ให้ใจหนัก
ไม่รักอะไร กับอะไร ให้ใจเขลา
ไม่อยากอะไร กับอะไร ให้ใจเมา
ไม่เอาอะไร กับอะไร ให้ใจกลวง

ไม่ต้องตั้งอะไร กับอะไร ให้ใจทุกข์
ไม่สุขอะไร กับอะไร ให้ใจหวง
ไม่เครียดอะไร กับอะไร ให้ช้ำทรวง
ไม่ห่วงอะไร กับอะไร ให้ใจรวน

ไม่คิดอะไร กับอะไร ให้ใจชั่ว
ไม่กลัวอะไร กับอะไร ให้ใจป่วน
ไม่บ้าอะไร กับอะไร ให้เกินควร
ไม่ด่วนสรุป อะไรกับอะไร ให้งมงาย ฯ

๏ ดอกบัว ๓ เหล่า

ดอกบัวบานโผล่พ้น           วารี
เปรียบเช่นคนใฝ่ดี           ฉลาดไซร้
บอกกล่าวแค่วจี             คำหนึ่ง
กลับแจ่มแจ้งจำไว้           เปลี่ยนแก้ใจตัว

ดอกบัวตูมอยู่ใต้             วารี
เปรียบเช่นคนเกือบดี         บอกได้
พร่ำสอนอาจหลายที          ยอมเชื่อ
พ้นผ่านน้ำผ่านร้าย           โผล่พ้นหมองมัว

ดอกบัวจมอยู่ใต้             โคลนตม
เปรียบเช่นคนโสมม          โง่ไซร้
ดื้อด้านชอบอาจม            สอนยาก
ยึดทิฏฐิชั่วไว้               ชาตินี้หมดหวังฯ

๏ จำไว้

อย่าเสแสร้ง แกล้งอวดทำ อำหลอกเขา
ว่าตัวเรา นั้นสุดเลิศ ประเสริฐศรี
อย่าเหนี่ยวรั้ง หวังรบเร้า ให้เขาดี
อย่าเที่ยวชี้ โพนทะนา นินทาใคร

เรื่องของเขา เอาขว้างทิ้ง จริงก็ช่าง
ต้องระวัง จิตตนไว้ ให้ผ่องใส
หน้าที่ตน อดทนสู้ ตื่นรู้ไป
ไม่อะไร กับอะไร ใจหมดกรรม ฯ

๏ วันเกิด

สุขสันต์วันได้คลอดมา
ได้ลืมตาดูฟ้าดิน
ได้เที่ยวเล่นและโบยบิน
ได้ดื่มกินได้หายใจ

เกิดมาเพื่อเบิกบาน
ใช่เพื่อทรมานหรือหม่นไหม้
เพื่อก้าวเดินเผชิญไป
ในเส้นทางแห่งความดี

อดีตที่ผ่านมาแล้วก็แล้วไป
ไม่อะไรกับอะไรให้เกิดมี
อย่ามัวกลัวมากไปไม่เข้าที
ชาตินี้จะไม่มีน้ำตานอง

ความดีทำแล้วก็แล้วไป
ความชั่วห้ามไว้อย่าหมายปอง
สมบัติโลกไม่ครอบครอง
จิตไม่เศร้าหมองก็โชคดี

สงบเย็นและเป็นประโยชน์
ไม่เที่ยวโทษโจทย์นั่นนี่
แค่ไหนก็แค่นั้นเท่าที่มี
พอกันทีชาตินี้ที่เกิดมา ฯ

๏ ผ่านมา ผ่านไป

มีมืดมีสว่างไซร้                    สัจธรรม
มีสุขทุกข์ขาวดำ                    ต่างรู้
ยามทุกข์อย่าครวญคร่ำ               จมปลัก
ล้มรีบลุกขึ้นสู้                      เทพไท้ยอมเรา

มัวเขลาร่ำไห้                     ป่วยการ
โทษโน่นนั่นคนพาล                  ผิดไซร้
มืดค่ำอีกบ่นาน                     เดี๋ยวสว่าง
ทนอดอดทนไว้                     พรุ่งนี้สว่างไสว ฯ

๏ กิน กาม เกียรติ

กิน เพื่อตามปากท้อง                ตัณหา
ปรุงแต่งรสโอชา                   หลอกลิ้น
แพงไม่เกี่ยงราคา                  เต็มที่
ต่างเที่ยวชิมเสพลิ้ม                 ค่ำเช้าเพลินใจ

กาม ความใคร่ไขว่คว้า              โหยหา
ยอมแลกเพื่อได้มา                  เสพไซร้
ไม่เว้นเด็กแก่ชรา                  ทุกเพศ
ต่างคิดวาดหวังไว้                  คลั่งไคล้ใฝ่ฝัน

เกียรติ สมมติกันเพื่อหน้า             เพื่อตา
ยศศักดิ์อีกเงินตรา                  อวดอ้าง
ต่างตีค่าราคา                     สูงต่ำ
หลงติดยึดเสกสร้าง                 เบ่งก้างใหญ่โต

มนุสโสก็แค่นี้                      ต้องการ
จิตคิดอยากลนลาน                  ไขว่คว้า
คร่ำครวญน่าสงสาร                 สมเพช
กิเลสหลอกให้บ้า                   ห่อนรู้ตามทัน ฯ

๏ บางคน

ยามมีความสุข ก็ลืมทุกข์ ที่เคยมี
ยามได้ดิบได้ดี ก็ลืมพี่ ลืมน้อง
ยามมีเงินมีทอง ก็จ่ายใช้ ไม่ประหยัด
ยามติดขัด ใกล้ตาย ก็ไหว้ขอพร ฯ

๏ จบ

อย่าเหนี่ยวรั้ง หรือหวังว่า คว้ามันไว้
อย่าใส่ใจ เที่ยวไล่ล่า บ้าโหยหา
อย่าต่อรอง หรือลองเคลียร์ เสียเวลา
ใช้ปัญญา หาหนทาง วางมันลง

ต้องแค่ไหน ก็แค่นั้น ช่างมันเถิด
จิตจะเกิด ตัวปัญญา ไม่พาหลง
มัวอะไร กับอะไร ใจไม่ปลง
ทุกชาติคง ต้องวุ่นวาย ทุกข์ตายเอย ฯ

๏ หลัก

เป็นพระไม่ทำวัตรสวดมนต์ก็หมดค่า
ไม่เพียรภาวนาก็หมดความหมาย
ไม่ขวนขวายเล่าเรียนศึกษาก็ไร้วิชาความรู้
อยู่ที่ไหนไม่ทำประโยชน์ก็ไร้บุญ ไร้บารมี ไร้ความดี
มีจิตใจไม่บริสุทธิ์ก็หมดสภาพ
หวังแค่ให้คนกราบ คนไหว้ คนศรัทธาก็สกปรก
เป็นโยมไม่รู้จักปล่อยวาง ก็ทุกข์ตาย ฯ

๏ จบเป็น เย็นได้

เมื่อมืดมิด ติดขัด ยากงัดแงะ
หาช่องแกะ แก้ไข ไร้สิทธิ์เห็น
จงรู้ทิ้ง นิ่งไว้ ปรับใจเป็น
เดี๋ยวก็เห็น ทางออก หาซอกเจอ

พบทางตัน หันกลับ อย่าขับต่อ
ใจเย็นรอ หยุดคิด จิตอย่าเผลอ
อย่าเครียดไป ใช่ร้าย อย่าได้เบลอ
หาไม่เจอ ช่างมัน แค่นั้นพอ ฯ

๏ ความหมายของคำว่า
“อโหสิ และ โส”

อโหสิ คือ จบแล้ว ยอมแล้ว
หยุดแล้ว เลิกแล้ว โล่งแล้ว
ปล่อยแล้ว พอแล้ว วางแล้ว
ว่างแล้ว ยกโทษแล้ว ขอขมาแล้ว

โส คือ คลี่คลาย ผ่องใส
สว่างไสว ไม่อะไรกับอะไร
ให้แล้วแล้วไป ผ่านแล้วผ่านไป แค่ไหนแค่นั้น
ทิ้งมัน ช่างมัน ดีแล้ว พอแล้ว มันเป็นเช่นนั้นเอง
สะอาด  สว่าง สงบ เย็น
สุข อิสระ รู้ ตื่น  เบิกบาน ฯ

๏ สุญญตาทาน หัวใจในการให้

เมื่อเจ้าให้ จงตื่นให้ ด้วยใจว่าง
อย่าได้สร้าง อุปาทาน หรือหารสอง
อย่าได้หวัง หรือตั้งเอา คอยเฝ้ามอง
ต้องหัดลอง ให้ให้แล้ว ก็แล้วไป ฯ

๏ ตัวเรา

หากมีจิต คิดดี มีสำนึก
ย่อมอาจฝึก อาจหัด ดัดนิสัย
อาจแนะนำ พร่ำเตือน เป็นเพื่อนใจ
อาจนำไป สู่ทิศ ชีวิตเจริญ

แต่หากใจ ใฝ่ต่ำ ชอบทำชั่ว
เห็นแก่ตัว อวดขลัง หวังสรรเสริญ
มากทิฏฐิ ไม่ปรับ หลับตาเดิน
ก็ยากเกิน ดูแล แก้สันดาน ฯ

๏ ฝึกฝน

ต้องทำเรื่องใหญ่ ปัญหาใหญ่
ให้เป็นเรื่องเล็ก ปัญหาเล็ก
จะได้มีปัญญาแก้ไข

อย่าใช้อารมณ์เพื่อแก้ปัญหา ใจร้อน
อารมณ์ร้อนมีแต่เสียกับเสีย

หัดให้โอกาสคน แต่อย่าให้เกิน ๓ ครั้ง
ถ้าเกิน ๓ ครั้งแล้วให้ถือว่าหมดบุญต่อกัน

อะไรที่ยิ่งยาก ยิ่งได้ อะไรที่ยิ่งร้ายยิ่งง่าย ยิ่งดี ยิ่งสนุก
ตัวศรัทธาในบุญ คือทางไปสวรรค์
ตัวขยัน ตัวประหยัด คือทางร่ำรวยเป็นเศรษฐี

คิดดี พูดดี ทำดีทำให้เป็นเทวดา
เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาทำให้เป็นพรหม
อดได้ ทนได้ ข่มได้ก็เป็นพระ เป็นคนบุญ
ไม่อะไรกับอะไรก็ไปนิพพาน

เบื่องาน เบื่อตน เบื่อคนก็ฉิบหาย
มักง่าย โลเล สงสัยก็อับจนตกอบาย
จิตวุ่นวายก็ตกนรก จิตสกปรกก็เป็นเดรัจฉาน
จิตอันพาลก็เป็นอสุรกาย

จิตตะเกียกตะกาย ทะเยอทะยาน
ไม่รู้จักพอ อยากได้ อยากดี อยากมีก็เป็นเปรต
รู้สึกตัวก็ปลอดภัยทุกภพทุกภูมิ ฯ

พบกัน เจอกันก็ให้เกิดบุญ เกิดกุศล เกิดปัญญา
ฉลาดขึ้นกว่าเดิม ดีขึ้นกว่าเดิม มีความสุขมากกว่าเดิม

พบกันแล้ว เจอกันแล้ว
ไม่เกิดบุญ เกิดกุศล ขออย่าได้เจอ เสียเวลาเปล่า

จงอย่าประมาทในชีวิต ในความดี ในหน้าที่ของตน
สติปัญญา คือ ขุมทรัพย์อันประเสริฐ ฯ

๏ อันตราย

รักลูกรักหลานจนเสียสติ เสียปัญญา

เลี้ยงแมวเลี้ยงหมาจนเสียแมว เสียหมา
ศรัทธาจนเสียคน เสียพระ

ทิฏฐิมานะจนเสียนิสัย
ตามใจตัวจนเสียทรัพย์ เสียศีล

กินเที่ยวเล่นจนเสียเวลาทำมาค้าขาย
เสียดายจนเสียบุญ เสียกุศล ฯ

๏ ชีวิตที่ดีที่สุด

อย่าหน้าใหญ่ ใจกว้าง สร้างหนี้สิน
อย่ากินทิ้ง กินขว้าง สร้างนิสัย
เห็นช้างขี้ อย่าขี้ตาม ทรามบรรลัย
อย่าคิดไซร้ ในบางเรื่อง ที่เปลืองตัว

ต้อง”แค่ไหน ก็แค่นั้น” ช่างมันไว้
อย่าใส่ใจ ในปากคน จนเสียหัว
ทำพูดคิด ชีวิตเรา อย่าเขลากลัว
ขออย่าชั่ว ก็เป็นดี แค่นี้พอ

หน้าที่ใคร ต้องใส่ใจ ให้เต็มที่
ทำให้ดี สุดปัญญา อย่าเหลือขอ
ค่าของคน ผลแห่งงาน หลักฐานพอ
ไยต้องรอ คำชมฝาก จากปากใคร ฯ

๏ ให้แล้วแล้วไป

ชีวิต คือ การให้
หัวใจ คือ ผู้ทำงาน
ปัญญา คือ ผู้บริหาร
ปณิธาน คือ เจ้านาย

ให้เพื่อให้
อย่ามีใจหวังหรือเสียดาย
ให้ให้หมดก่อนวันตาย
คือ เป้าหมายที่เกิดมา

ผู้ให้ คือ ผู้ได้
จิตคลี่คลายสิ้นตัณหา
ยิ่งให้ยิ่งมีปัญญา
ล้างอัตตามายาใจ

ผู้ให้ คือ ผู้ชนะ
ได้เสียสละ คือ กำไร
ทุกภพภูมิสว่างไสว
ด้วยการให้ให้แล้วแล้วไป ฯ

๏ ใจคน

“รู้ใจ” ทำอะไรก็ดีหมด
“มีใจ” ทำอะไรก็ได้หมด
“เต็มใจ” ทำอะไรก็ถูกหมด
“ถูกใจ” ทำอะไรก็ให้หมด
“เห็นใจ” ทำอะไรก็ช่วยหมด
“ผิดใจ” ทำอะไรก็แย่หมด
“ท้อใจ” ทำอะไรก็เหนื่อยมาก
“พอใจ” ทำอะไรก็สุขมาก
“ทุกข์ใจ” ทำอะไรก็ยากหมด
“แค้นใจ” ทำอะไรก็พังหมด
“น้อยใจ” ทำอะไรก็เครียดมาก
“ร้อนใจ” ทำอะไรก็พลาดหมด
“ติดใจ” ทำอะไรก็สงสัยหมด
“ยุ่งใจ” ทำอะไรก็ติดขัดหมด
“ตัดใจ” ทำอะไรก็ง่ายหมด
“เผลอใจ” ทำอะไรก็บกพร่องหมด
“เหงาใจ” ทำอะไรก็เบื่อหมด
“กลุ้มใจ” ทำอะไรก็หงุดหงิดมาก
“กังวลใจ” ทำอะไรก็ไม่เรียบร้อย
“สุขใจ” ทำอะไรก็สะดวกสบาย
“สงบใจ” ทำอะไรก็สำเร็จหมด ฯ

๏ อวสานชีวิต

ไม่ฟังใคร
ไม่ใช้สมอง
ชอบของใหม่
ใช้แต่ของดี
สร้างแต่หนี้สิน
กินทิ้งฟุ่มเฟือย
เหนื่อยก็บ่น
ความอดทนมีน้อย
นอนคอยวาสนา
นินทาคนอื่น
ชอบรื่นเริงสนุกสนาน
การงานไม่ทำ
จดจำแต่เรื่องไม่ดี
หนีปัญหา
บ้าหวย
ซวยทุกราย ฯ

๏ เส้นทางสู่การเจริญสติ
สมาธิ ปัญญา ญาณ วิชชา วิมุตติ

๏ ขั้นเตรียมตัว
ฟังธรรมะแนวปฏิบัติ
หัดเปลี่ยนนิสัยความเคยชิน
กินนอนพอประมาณ
งดอ่านงดเขียน
เรียนดูจิตแทนตำรา
แสวงหาที่สงบสงัด
ตัดละมานะ ทิฏฐิ ตัณหา
คบกัลยาณมิตร
มีจิตคิดสำนึกฝึกหัดพัฒนาปรับปรุง ฯ

๏ ขั้นลงมือปฏิบัติ
ปิดวาจา
ตั้งศรัทธาให้มั่น
อดทนอดกลั้น
รู้ทันอารมณ์
ดูลมหายใจ
เคลื่อนไหวรู้สึก
หยุดนึก หยุดคิด หยุดรู้
ยกสู่ไตรลักษณ์ ฯ

๏ ข้อควรระวัง
สำคัญตนผิด
ติดสะดวกสบาย
วุ่นวายการงาน
ต้องการผิดๆ
คิดประมาท
ขาดความต่อเนื่อง
ยุ่งเรื่องชาวโลก ฯ

๏ ผลของการปฏิบัติ
จิตคลี่คลาย ผ่องใส สว่างไสว รู้ ตื่น เบิกบานทุกขณะ ฯ

๏ บทภาวนาดับความฟุ้งซ่าน

ไม่กาย ไม่จิต ไม่รูป ไม่นาม
ไม่ธาตุ ไม่ขันธ์ ไม่เอา ไม่เป็น
ไม่ต้อง ไม่ตั้ง ไม่ยึด ไม่อยาก
ไม่สัตว์ ไม่คน ไม่บุคคล ไม่ตัว ไม่ตน
ไม่เขา ไม่เรา ไม่ดี ไม่ชั่ว ไม่ชอบ ไม่ชัง
คิดรู้ รู้ทิ้ง ช่างมัน ไม่อะไรกับอะไร
“รู้สึกตัว”

๏ อย่าหวัง

อย่าได้หวัง ดั่งใจ ในทุกเรื่อง
ให้สิ้นเปลือง อารมณ์ เป็นลมแล้ง
อย่าปักใจ ในมนุษย์ ทุ่มสุดแรง
อาจเปลี่ยนแปลง พลิกแพลง แกล้งมายา

อย่าได้ฝัน หมั่นหมาย ว่าได้ง่าย
ต้องขวนขวาย ดิ้นรน อดทนหา
ตนพึ่งตน จนเจียม เตรียมปัญญา
ในไม่ช้า ฟ้าสว่าง เห็นทางเดิน ฯ

๏ โทษตัวเอง

อย่ามัวโทษ โจทย์นี่นั่น ว่ามันชั่ว
โทษใจตัว ดีกว่า น่าสรรเสริญ
ว่ายังหยาบ บาปแน่นหนา หน้าด้านเกิน
ยังเพลิดเพลิน เชิญชอบชัง นั่งครองใจ

ในโลกนี้ ไม่มีไซร้ ใครดีเลิศ
สุดประเสริฐ ยากค้นหา บูชาไม่
เลือกส่วนดี มองข้ามร้าย ได้กำไร
อย่าใส่ใจ ในบางเรื่อง เปลืองเวลา ฯ

๏ น้ำใจ

น้ำใจ คือ ไมตรี
ชุบชีวีให้ลืมตา
น้ำใจ คือ ตัวยา
ช่วยรักษาหัวใจคน ฯ

๏ ข้อวัตร

พูดน้อย สติมาก
กินน้อย ความเพียรมาก
นอนน้อย ปัญญามาก
ปฏิบัติน้อย กิเลสมาก

พูดมาก สติน้อย
กินมาก ความเพียรน้อย
นอนมาก ปัญญาน้อย
ปฏิบัติมาก กิเลสน้อย ฯ

๏ หลง

หลงโลกอยู่ย่อมร้อน                ทุกข์ใจ
หลงชอบชังคือไฟ                  พิษร้าย
หลงอำนาจคือภัย                  โลกเดือด ร้อนนา
หลงผิดคิดใหม่ได้                  รีบใช้ปัญญา

หลงบ้าอยู่โทษนั้น                  วุ่นวาย
ละโง่ทิ้งไม่สาย                   โชคไซร้
ดื้อดึงมากอันตราย                 มากบาป กรรมนา
หรืออยากกอดบาปไว้               ชั่วช้าช่างมัน

วันวันเห็นแต่คิดร้าย                ราวี
เห็นแต่ชั่วเป็นดี                   ยึดไว้
ทำพูดคิดอัปรีย์                    บอกว่า ดีนา
เห็นบาปเป็นบุญไซร้                ไม่ช้าตรอมตรม ฯ

อยากรวยจงหมั่นสร้าง              ทางบุญ
เก็บเล็กผสมเป็นทุน                ก่อไว้
พลังบุญย่อมช่วนหนุน                สำเร็จ
เดชแห่งบุญนั้นไซร้                 ช่วยให้ร่ำรวย

ซวยซ้ำซ้อนค่ำเช้า                 หมดบุญ
ติดขัดจนหัวหมุน                   ร่ำไห้
การค้าที่ขาดทุน                   อุปสรรค
ล้วนแต่บุญหมดไซร้                 อย่าได้เบื่อบุญ ฯ

๏ ความจริง

ใช่แค่เรา เท่านั้น ที่มันทุกข์
ไร้ซึ่งสุข สมหวัง ดั่งใจฝัน
แม้คนอื่น หมื่นใจ ใช่ต่างกัน
ทุกคืนวัน นั้นคล้าย ร้ายพอเรา

โลกก็เป็น เช่นนี้ มีดีร้าย
อย่ายอมพ่าย คล้ายบ้า อย่าโง่เขลา
อย่าชี้โทษ โกรธเกรี้ยว เที่ยวยึดเอา
อย่าได้เหมา เข้าข้าง อ้างแค่ตน

จงอดทน ทนอด เดี๋ยวหมดทุกข์
เดี๋ยวก็สุข หลั่งมา ดั่งห่าฝน
อันโชคร้าย คล้ายว่า ฟ้ามืดมน
เดี๋ยวผ่านพ้น ก็สว่าง เห็นทางเดิน ฯ

๏ บทภาวนาเวลาเหนื่อยใจ

อย่าน้อยอก น้อยใจ
ไม่อะไรกับอะไร
ต้องอภัยอย่าคิดร้าย
ได้ก็ช่าง ไม่ได้ก็ช่าง
เลิกคิดเลิกหวัง
งดตั้งกฏตั้งเกณฑ์
อย่าเน้นความสำคัญ
ปล่อยมันไป
อย่าใส่ใจในอดีต
อย่าขีดเส้นตาย
อย่าได้หวั่นวิตก
อย่าโกหกใจตัว
อย่ากลัวความจริง
อย่าทิ้งปัญญา ฯ

๏ เข้าใจ

เข้าใจว่าอ่อนแอ
จึงอยากดูแลให้เบิกบาน
เข้าใจว่าทุกข์ทรมาน
จึงต้องการให้ใช้สมอง

เข้าใจว่าหลงมาก
จึงอยากให้ไตร่ตรอง
เข้าใจว่าน้ำตานอง
จึงอยากลองให้ภาวนา

เข้าใจว่ารู้หมดแล้ว
จึงแกล้งแซวสอบปัญญา
เข้าใจว่ามีศรัทธา
จึงอยากนำพาให้ถูกทาง

เข้าใจว่ายึดถือมาก
จึงอยากให้ปล่อยวาง
เข้าใจว่ายังหลงทาง
จึงได้กางแผนที่ชี้นำพา

เข้าใจว่ายังดื้อด้าน
จึงต้องการช่วยรักษา
เข้าใจว่ามากมายา
จึงปรารถนาให้เปลี่ยนแปลง

เข้าใจว่าเหนื่อยล้า
จึงอยากเยียวยาให้แข็งแรง
เข้าใจว่ามีบาปแฝง
จึงออกแรงช่วยปลดกรรม

ทุกๆอย่างที่ทำไป
หวังเตือนใจช่วยความจำ
ใช่เสแสร้งหรือแกล้งทำ
ทุกน้ำคำคือมิตรไมตรี ฯ

๏ สุขเทียม

สุขภายนอก หลอกใจ ให้ใคร่หลง
ใช่มั่นคง ปลงได้ สบายหนอ
สุขภายใน ใจสงบ จบที่พอ
ไม่ต้องรอ ต้องหา ให้บ้าไป

ต่างวิ่งหา คว้าไว้ จนใจช้ำ
ต้องรับกรรม จำทน แทบหม่นไหม้
โน่นนี่นั่น ขยันปรุง จนยุ่งใจ
เพราะหลงใหล ไขว่คว้า หาสุขเทียม ฯ

๏ ชีวิตพรหมจรรย์

เพียรภาวนารักษาจิต
ดูความคิดที่เกิดดับ
ใช้ปัญญาพิจารณาปรับ
ทั้งเกิดดับรู้ดูมันไป

ครั้งหนึ่งในศาสนา
เพียรศึกษาเพื่อดูใจ
ไม่อะไรกับอะไร
เพื่อความสว่างไสวในพุทธธรรม

ค่ำเช้าแผ่เมตตา
ปรารถนาให้สัตว์ได้พ้นกรรม
วัตรน้อยใหญ่ตั้งใจทำ
เพื่อประกาศธรรมสร้างบารมี ฯ

๏ ปัจจุบัน

อยู่อย่างเบิกบาน
ปล่อยวันวานให้ผ่านไป
วันพรุ่งนี้อย่าใส่ใจ
ไม่อะไรกับอะไรให้ร้อนรน

แค่ไหนก็แค่นั้น
เฝ้าฝันยิ่งมืดมน
ตื่นรู้เลิกสับสน
ของๆตนมันไม่มี

สิ่งสมมติคือมายา
ตัวตัณหาคือกาลี
คอยปรุงแต่งให้อยากดี
ให้อยากมีจนวุ่นวาย ฯ

๏ รีบ

บาปเกิดที่ใจเรา
หาใช่เขาเป็นตัวการ
ใช้ปัญญาบริหาร
ทุกเหตุการณ์ก็สงบลง

ไม่ปลงก็วุ่นวาย
ต้องทุรนทุรายและมึนงง
สติตั้งให้มั่นคง
เรื่องจบลงด้วยปัญญา

รีบเร่งแก้ไขใจ
ปล่อยไว้มากปัญหา
ชักช้าเสียเวลา
รีบลืมตาดูความจริง ฯ

อ่านต่อ หน้า ๒