๏ ขีวิตนักบวช
มีผ้าพอปกปิดกาย
เพื่อกันอาย กันหนาวร้อน
มีที่อยู่พอซุกหัวนอน
เพื่อพักผ่อน หลบฟ้าฝน
มีข้าวฉันวันละหน
เพื่อฝึกฝนเรียนภาวนา
ชีวิตก็แค่นี้
ไม่น่ามีปัญหา
โน่นนี่นั่นเสียเวลา
อีกไม่ช้าก็ลงโลงฯ
๏————-๏
กิเลสกามล่อไว้ เวียนวน
จิตเบื่ออยากดิ้นรน ไขว่คว้า
ทุมเทเพื่อหวังผล เสพเล่น ชมนา
จิตเสื่อมสิ้นหลงบ้า ห่างสิ้นความดี ฯ
๏————-๏
บวชกายเพียงแค่ได้ เดินตาม
นุ่งห่มดูงดงาม น่าไหว้
บวชใจมุ่งละกาม ตัดบ่วง มารนา
เรียกว่าบวชแล้วได้ แก่นแท้พรหมจรรย์ ฯ
๏————-๏
วันพระคือพรุ่งนี้ เตรียมตัว
เว้นซึ่งบาปกรรมชั่ว ห่างไว้
เข้าวัดบ่มใจตัว ให้ตื่น รู้นา
ภพใหม่รออยู่ไซร้ อย่าได้ลืมตัว ฯ
๏————-๏
ตัวกูอัดแน่นไว้ มากมาย
กองท่วมทั่วใจกาย เอ่อล้น
ของกูมุ่งปองหมาย ทุกสิ่ง แบกนา
เมื่อไหร่จะหลุดพ้น สู่ห้วงนิพพาน ฯ
๏————-๏
ยิ่งแก้ยิ่งเพิ่มร้าย รอบตัว
หนีเพื่อให้พ้นชั่ว ยิ่งร้าย
คราวเคราะห์ช่างน่ากลัว ล้วนแต่ ร้ายนา
เรียกซึ่งบุญช่วยได้ หากเจ้าเคยทำ ฯ
๏ บารมีธรรม
ขาดทานบารมี จะมีแต่ความหิวโหยอดอยาก
ขาดศีลบารมี จะมีแต่ความหวาดกลัว
ไม่มีใครอยากคบค้าสมาคม มีแต่คนหวาดระแวง ไม่ไว้ใจ
ขาดเนกขัมมบารมี จะมีแต่ความวุ่นวาย ไม่มีความอิสระเสรี
ขาดปัญญาบารมี จะมีแต่ปัญหา ชีวิตมีแต่ความมืดมน
ขาดวิริยบารมี จะไม่พบความสำเร็จใดๆทั้งสิ้น
ขาดขันติบารมี จะไม่มีวันพรุ่งนี้ จะเป็นผู้พ่ายแพ้ตลอดชีวิต
ขาดสัจจบารมี จะเป็นคนที่ไม่มีค่า ไม่มีคนให้เกียรติ
ขาดอธิษฐานบารมี จะเป็นคนที่โลเล จับจด ไม่มีความมั่นคง
ขาดเมตตาบารมี จะไม่มีคนรัก คนเคารพนับถือ
ขาดอุเบกขาบารมี จะไม่มีความสงบตลอดชีวิต ฯ
๏ พระคาถาดับร้อน
พระพุทโธ เย็นจิต พระธัมโม เย็นใจ
พระสังโฆ เย็นทั้งภายนอก เย็นทั้งภายใน
คิดสิ่งใด ทำสิ่งใด พูดอะไรให้ใจเย็นๆ
นะ เย็น โม เย็น พุท เย็น ธา เย็น ยะ เย็น
เย็นด้วยนะโมพุทธายะ
โอมพระพุทโธ ให้กูใจเย็น โอมพระธัมโม ให้กูใจเย็น
โอมพระสังโฆ ให้กูใจเย็น
เห็นอะไร ฟังอะไร ดูอะไร ทำอะไร
พูดอะไร คิดอะไร ให้กูใจเย็น
เย็นไปทั่วโลก เย็นไปทั่วจักรวาล
ทุกสรรพสิ่งอนิจจัง ทุกสรรพสิ่งทุกขัง ทุกสรรพสิ่งอนัตตา
ทุกชีวิตทุกวิญญาณจงเย็นกาย เย็นจิต เย็นใจ
เย็นนอก เย็นในฉับพลันทันที
นิพพานัง ปะระมัง สุขัง พระนิพพาน เป็นสุขอย่างยิ่ง
นัตถิ สันติ ปะรัง สุขัง สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี ฯ
๏ พลังชีวิต พลังแห่งความสำเร็จ
๑.พลังแห่งศรัทธา ความเชื่อมั่น
มั่นใจว่าต้องผ่านได้สำเร็จได้อย่างงดงาม
๒.พลังความอดทน ความเพียรพยายาม
ไม่รู้สึกท้อแท้ท้อถอย หมดหวัง
หมดกำลังใจในสิ่งที่ลงมือทำ
๓.พลังแห่งสติ ความรู้เท่าทัน
ความพร้อมรับมือ ความไวแห่งความนึกคิด
เพื่อจะรับมือกับเหตุการณ์
๔.พลังแห่งสมาธิ ความนิ่ง
ความสงบ ภายในใจ ภายนอก ไม่แสดงการ
ตกใจ หวาดกลัว ตื่นเต้นตกใจ
๕.พลังแห่งปัญญา ประสบการณ์
ความรอบรู้ ความฉลาด การอ่านเหตุการณ์ออก
การคาดเดา การคำนวณ
ประเมินสถานการณ์ได้ใกล้เคียง
การหาทางออก ในเหตุการณ์นั้นๆ
ความพร้อมในการยอมรับความจริงที่จะเกิดขึ้น
๖.พลังแห่งบุญ คุณธรรม
บารมีธรรม และคุณงามความดี
ในชาติปัจจุบันที่เราได้สั่งสมอบรมไว้ดีแล้ว
จนทำให้เกิดความมั่นใจในอานุภาพแห่งบุญนั้น
๗.พลังแห่งพระรัตนตรัย
ที่เราเคารพบูชาแบบเชื่อเป็น
เชื่อตายมอบกายถวายชีวิต
๘.พลังแห่งพ่อแม่ครูอาจารย์ผู้มีพระคุณสูงสุด
ที่เราได้กตัญญูรู้คุณ และตอบแทนคุณ
ปฏิบัติดีแล้ว ไม่มีข้อตำหนิผิดพลาด
อย่างเสมอต้นเสมอปลาย
๙.พลังแห่งเทพไทเทวาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวแห่งจิตใจ
ที่ช่วยให้เรามีความเชื่อมั่น เกิดกำลังใจ
๑๐.พลังแห่งความบริสุทธ์ ทางกาย ทางวาจา ทางใจ
ที่มีต่อทุกสรรพสิ่งทั้งหมดทั้งมวล
โดยไม่มีความด่างพร้อยเป็นรอยมลทิลแห่งใจ ฯ
๏ มาร
ถ้าเชื่อมาร นานเข้า เราก็บ้า
เพราะมารพา หาชั่ว ให้มัวหมอง
ต้องรู้ทัน กันไว้ พึงไตร่ตรอง
ใช้สมอง พิจารณา อย่าเชื่อไป
๏————-๏
คำพูดมาร ผลาญดี ไม่มีเหลือ
อย่าเผลอเชื่อ เนื้อความ ห้ามหลงใหล
อย่าถือสา หาเรื่อง ให้เปลืองใจ
อย่าเข้าใกล้ ให้หลบ อย่าคบมัน ฯ
๏ สัจธรรม
เมื่อหมดบุญ ต่อกัน มันก็จบ
ที่เคยคบ พบหน้า ก็ลาหนี
ที่เคยรัก ปักใจ เลิกใยดี
เพราะบุญมี ต่อกัน มันจางลง
๏————-๏
เป็นเช่นนี้ ธรรมดา อย่าคิดมาก
จำต้องพราก จากลา อย่าหลับหลง
ความไม่แน่ แปรเปลี่ยน หัดเรียนปลง
บุญมีคง ลงเรือ ช่วยเหลือกัน ฯ
๏ ความงดงามของชีวิต
มองโลกในแง่ดี
รู้เท่าทันมายาโลก
ได้ทำหน้าที่ของตนอย่างมีความสุข
และเต็มความสามารถ
ไม่เบียดเบียนใครให้ได้รับความเดือดร้อน
มีความเข้าใจลึกซี้งในศาสนาของตน
มีธรรมะเพียงพอที่จะรักษาใจตน
มีศีลธรรมมากพอที่จะไม่ทำให้ตน
และบุคคลอื่นเดือดร้อน
มีทรัพย์พอได้ใช้จ่ายไม่ขาดมือ
มีวิชาความรู้พอเอาตัวรอด
มีมิตรไมตรีคอยเตือนสติ
มีสติปัญญามากพอแก้ปัญหาได้
กินเป็นสุข นอนเป็นสุข
ตื่นเป็นสุข ทำงานเป็นสุข
อ่อนน้อมถ่อมตน
ได้ดูแลพ่อแม่และผู้มีพระคุณ
จิตใจคลี่คลาย ผ่องใส สว่างไสว
รู้ ตื่น เบิกบาน สะอาด สว่าง สงบ อิสระ
ไม่เห็นแก่ตัว
ไม่อาภัพในความดีฯ
๏ คุณภาพใจ
โอ้หนอจิต ชอบเห็นผิด หงุดหงิดง่าย
เจอเหตุร้าย ก็กลายเป็น ดั่งเห็นผี
เจอเหตุชอบ ก็ตอบสนอง มองว่าดี
เป็นเช่นนี้ ชี้บอกค่า ราคาใจ
๏————-๏
อันจิตใจ ไร้คุณธรรม ค้ำรักษา
เจอปัญหา มาราดรด หมดผ่องใส
ชี้ชะตา น่าสงสาร เมื่อนานไป
จะเกิดภัย ไร้ความสุข ทุกข์เจียนตาย ฯ
๏ บทภาวนาส่งวิญญาณ
จงอย่าได้ อาลัย ในญาติมิตร
จงอย่าคิด อาลัย ในทรัพย์สิน
จงพ้นทุกข์ สุขใจ ไร้มลทิน
จงหมดสิ้น เวรกรรม ที่ทำมา
จงอย่าได้ ห่วงร่าง อันว่างเปล่า
จงอย่าเขลา ต้องตาย ทุกกายหนา
จงตัดใจ ไปเถิด อย่าเกิดมา
น้อมขอขมา ด้วยใจ จงไปดี ฯ
๏ บารมี ๑๐ ทัศ
ข้อวัตรของคนดี พลังแห่งชีวิต
พลังแห่งความสำเร็จ เป้าหมายชีวิต
๑.ทานบารมี
ให้ก็คือให้ ให้แล้วแล้วไป
ไม่หวังผล หวังกำไร หรือขาดทุนจากการให้
ให้ทุกครั้ง บริสุทธิ์ทุกครั้ง
ไม่เดือดร้อนทั้งผู้ให้และผู้รับ ให้โดยไม่ต้องถูกขอ
ให้ได้ทั่วไป ไม่ใจแคบแค่พวกตน
คณะตน พิจารณาแล้วว่าเป็นประโยชน์
ให้แล้วให้เลย จบในขณะให้
๒.ศีลบารมี
ไม่เสแสร้งแกล้งเป็นคนดีมีศีลสัตย์
ไม่ทำให้ใครได้รับความเดือดร้อน
ทั้งทางตรง และทางอ้อม
๓.เนกขัมมะบารมี
พร้อมเสียสละ ละวาง ปลีกตัว
เพื่อแสวงหาความรู้ ตื่น เบิกบาน
สะอาด สว่าง สงบของชีวิตจิตใจ
ไม่หลงใหลในโลกโลกีย์
๔.ปัญญาบารมี
มีจิตสำนึก รู้ในบาปบุญ คุณโทษ
ประโยชน์มิใช่ประโยชน์
อะไรควร ไม่ควร อะไรผิด
อะไรถูก ทั้งสมมติ และปรมัตถ์
๕.วิริยะบารมี
ลงมือปฏิบัติ เพื่อขจัดบาป บำเพ็ญบุญ
รักษาความดี ทำหน้าที่อย่างต่อเนื่องให้ดีงาม ถูกต้อง
๖.ขันติบารมี
ประคองจิต ประคองใจ
ควบคุมตนให้อดทน เข้มแข็ง ไม่อ่อนแอ
พ่ายแพ้ต่ออุปสรรค เพื่อเพิ่มพูน พอกพูนคุณธรรม
ความดีที่ทำได้ยากให้สำเร็จ ให้ดียิ่งๆขึ้นไป
๗.สัจจะบารมี
จิตใจมั่นคง ต่อความดีที่ทำอยู่
อย่างแน่วแน่ จริงจัง จริงใจ ไม่โลเล
เอนเอียงตามเสียงนก เสียงกา ตามตลาดศรัทธา
๘.อธิษฐานบารมี
ตั้งจิตปรารถนา เพื่อพัฒนาตนให้พบความสำเร็จ
ตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้
ไม่ละทิ้งความดี หน้าที่ อุดมการณ์ ไว้กลางคัน
๙.เมตตาบารมี
ลงมือแบ่งปันความสุข ให้แก่โลก
แก่สังคม ให้บุคคลใกล้ตัว ใกล้ใจ
บุคคลในครอบครัว ด้วยความรักความหวังดี
มอบมิตรไมตรีโดยไม่เห็นแก่ตัว
อย่างเสมอต้นเสมอปลาย
๑๐.อุเบกขาบารมี
รอได้ คอยได้ อดได้ ทนได้
สงบได้เย็นได้ ปล่อยได้วางได้ฯ
หมายเหตุ
บารมีมี ๓ ระดับ
ระดับต้น ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง เรียกว่า บารมี
ระดับกลาง ทำได้ดี ทำได้มากกว่าเดิม
ดีกว่าเดิม สมบูรณ์กว่าเดิม เรืยก อุปบารมี
ระดับสูงสุด ทำได้สมบูรณ์ บริบูรณ์
ไพบูรณ์ เติมเต็ม สุดความสามาร เรียกว่า ปรมัตถบารมี
๏ เตือนตน
จงเตือนตน เตือนใจ ให้รู้คิด
จงเตือนจิต คิดดี มีเหตุผล
จงเตือนตัว กลัวกรรม นำอับจน
เกิดเป็นคน ตนเตือนตน กุศลแรง ฯ
๏ ระวัง
คำโบราณ ชาญฉลาด ประกาศไว้
เพื่อเตือนใจ ให้คิด เป็นปริศนา
อย่าไว้เนื้อ เชื่อใจ ให้ศรัทธา
จนเป็นบ้า ตามัว ในตัวคน
อันมนุษย์ มนา ท่านว่าไว้
ระวังใจ ไว้เถิด จะเกิดผล
หลงเชื่อมาก ฝากใจ ภัยถึงตน
จะอับจน หม่นหมอง ตรองให้ดี
บางมนุษย์ สุดดี ก็มีอยู่
เป็นศัตรู มีมาก หลากหลายสี
เที่ยวหลอกหลอน สอนผิด จิตอัปรีย์
ดูให้ดี เดี๋ยวพลาด อาจหมดตัว ฯ
๏ ดูให้ดี
อย่าหลงเปลือก เลือกหมาย แค่ภายนอก
จะถูกหลอก ชอกช้ำ เพราะคำหวาน
จะคบค้า สมาคม บ่มให้นาน
เดี๋ยวเจอพาล ชาญฉลาด อาจซวยฟรี
ดีด้านนอก หลอกตา ว่าเลิศไซร้
แต่ด้านใน ใจร้าย คล้ายภูตผี
ดูแค่มาด ฉลาดรู้ เป็นผู้ดี
แต่อัปรีย์ มีพิษ ฤทธิ์บรรลัย
จะมีศีล กินผัก มีหลักวัด
จะเคร่งครัด วัดได้ หายสงสัย
ต้องใกล้ชิด ติดต้อย คอยดูไป
ตาอาจใส ไร้หมอก บอกความจริง ฯ
๏ เลือก
จะหาใคร ในโลก โชคดีสุด
หรือบริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไร้หมองศรี
สมบูรณ์พร้อม จอมปราชญ์ ฉลาดดี
เหมือนดั่งที่ คิดหา อย่าบ้าไป
องค์อรหันต์ นั่นเลิศ ประเสริฐสุด
หมู่มนุษย์ ยังด่า นินทาใส่
อย่าตั้งค่า หาดี ที่ถูกใจ
จะบรรลัย ไร้คู่ อยู่แอบอิง
จงเลือกใช้ ในส่วน ที่ควรใช้
อย่าใส่ใจ ในส่วน ที่ควรทิ้ง
อย่าต่อรอง มองข้าม ในความจริง
อย่าติติง ลดค่า ราคาคน ฯ
๏ วิธีแก้
โกรธเกลียดเคียดแค้น ชิงชัง
จิตเจ็บปวดคลุ้มคลั่ง หม่นไหม้
สติตั้งระวัง กดข่ม
มอบรักราดรดไว้ ดับได้เวรภัย
ใจอยากได้โลภล้น ทะยาน
หลับตื่นลุกลนลาน ไขว่คว้า
โน่นนี่นั่นต้องการ เช้าค่ำ
รีบแบ่งปันอย่าช้า ดับได้กองเพลิง
ระเริงหลงเคลิบเคลิ้ม มัวเมา
จิตร่านรนคิดเขลา คลั่งไคล้
กามคุณต่างยึดเอา ปรุงแต่ง
จิตตื่นรู้ทันไซร้ ดับได้มืดมน ฯ
๏ ราคา
จงเจียมตัว กลัวผิด หัดคิดไว้
ทำสิ่งใด ใคร่ครวญ ให้ถ้วนถี่
อย่ามักง่าย ขายหน้า ประชาชี
ทำให้ดี มีค่า น่าชมเชย
ค่าของคน ผลชี้ อยู่ที่งาน
คือหลักฐาน ด้านนอก บอกเฉลย
ว่ามีดี ฝีมือ สื่อชัดเลย
ถูกเปิดเผย เฉลยค่า ราคาคน ฯ
๏ วาง
ถูกกระทบ หลบให้ทัน อย่าหวั่นไหว
อย่าเอาใจ ไปรับรู้ อยู่เฉย ๆ
อย่าหงุดหงิด คิดเคืองขุ่น ให้วุ่นเลย
ฝึกให้เคย สอบให้ผ่าน เป็นการดี
อย่ารับรู้ ร่วมแสดง แสลงร้าย
ให้วุ่นวาย ขายขี้หน้า หมดราศี
จงปล่อยว่าง กางปัญญา ฆ่าทันที
อย่าให้มี แรงกระเทือน เปื้อนหัวใจ ฯ
๏ นิ่ง
ยามเจอทุกข์ รุกฆาต ต้องฉลาดแก้
อย่ายอมแพ้ หวาดผวา จนตาขาว
ใช้ปัญญา ตรองตรึก นึกให้ยาว
ทุกเรื่องราว ใคร่ครวญ อย่าด่วนกลัว
ทุกปัญหา คาอก แก้ตกได้
ใช่เรื่องร้าย เหตุใหญ่ ให้ปวดหัว
จิตต้องนิ่ง แน่วแน่ แม้จวนตัว
อย่านึกกลัว หัวหด หมดปัญญา ฯ
๏ ต้นเหตุ
ทุกปัญหา คาใจ ใช่ใครก่อ
ตัวเราหนอ ก่อไว้ มิใช่หรือ
อย่าคิดเขลา ว่าเขา เอาใส่มือ
ถ้าไม่ถือ มือเปล่า ควรเข้าใจ
อันความทุกข์ รุกราน เล่นงานจิต
เพราะคิดผิด ริษยา ว่าถูกไหม
เพราะวาดหวัง ชังชอบ ครอบหัวใจ
จึงเกิดไฟ ลุกไหม้ จนใจเกรียม ฯ
๏————-๏
๏ ความเพียร
จะแวกว่าย สายน้ำ ข้ามหาฝั่ง
ไม่สิ้นหวัง ตั้งจิต พิชิตสู้
แม้มากคลื่น ฝืนฝ่า ท้าลองดู
จะไม่อยู่ รอตาย อายฟ้าดิน ฯ
๏ สู้ สู้ สู้
แม้ลำบาก ยากจน อดทนไว้
อย่าน้อยใจ ในชาติ วาสนา
แม้อุปสรรค ต้องเผชิญ เกินปัญญา
อย่าหวาดผวา ตาขาว จนหนาวสั่น
อย่าอับจน หนทาง สร้างชีวิต
อย่าสิ้นคิด ปิดตา พาคิดสั้น
หนทางดี มีอยู่ คู่เคียงกัน
อย่าทิ้งฝัน วันหน้า อาจหาเจอ ฯ
๏ จริงใจ
หากหวังดี มีจิต คิดอยากช่วย
ต้องร่วมด้วย ช่วยกัน นั่นถูกต้อง
เมื่อประมาท พลาดท่า คว้าประคอง
มือทั้งสอง รองรับ จับจูงเดิน ฯ
๏ คิด
ความคิดเก่า เขลาคร่า อย่าได้คิด
ควรพลิกจิต คิดเรื่องใหม่ ให้ใจใส
คิดแล้วโง่ โมโหบ้า อย่าคิดไป
เป็นฟืนไฟ ใหม้จิตตน จนหน้าดำ
เรื่องดีงาม ความสัตย์จริง สิ่งควรคิด
หัดฝึกจิต คิดให้เป็น เห็นสุขล้ำ
เลิกเสียที คิดกาลี มีบาปกรรม
จงมีธรรม นำความคิด จิตปลอดภัย ฯ
๏ ไถ่ถาม ตามเตือน
จะละโมบ โลภหลง ถึงดงไหน
จะหลอกใจ ไขว่คว้า เข้าป่าเหว
จะจมปัก รักชั่ว จนตัวเลว
จะเท้าเอว อยู่ไย ไม่ใฝ่ดี
หรือเกิดมา หาบาป สาปชีวิต
จึงไม่คิด ตั้งหลัก รักศักดิ์ศรี
เมินศีลธรรม คำพระ ละความดี
ถือกาลี เป็นใหญ่ ห่างไกลบุญ ฯ
๏ ตรวจตรา
เมื่อปิดใจ ใครเล่า เขาจะสอน
เมื่อตัดรอน ถอนใจ ใครจะฝืน
เมื่อบูดเย็น เหม็นไป ใครจะกลืน
เมื่อไม่ตื่น อวดดี มีใครมอง
หากอยากดี มีมิตร คอยคิดช่วย
อยากหมดซวย สุขใจ ไม่หม่นหมอง
อยากสมหวัง ดั่งใจ ที่ใฝ่ปอง
ควรใช้สมอง ลองคิด พินิจดู ฯ
๏ หลักการทำงาน
เดินถูกทาง
วางแผนดี
มีกัลยาณมิตร
คิดกว้างไกล
ใจบริสุทธิ์ฯ
ข้อสุดท้ายสำคัญที่สุด
ที่จะทำให้งานนั้นยั่งยืนมั่นคง
อมตะ ไปตลอดรอดฝั่งฯ
๏ นักเรียน
เป็นนักเรียน หมั่นเขียนอ่าน ให้ชาญฉลาด
อย่าประมาท ในวิชา ศึกษาไว้
เชื่อฟังครู รู้หน้าที่ มีวินัย
เมื่อเติบใหญ่ จะได้ดี มีปัญญาฯ
๏ แม่
หาใช่แค่หน้าที่
ที่แม่นี้จำต้องทำ
แต่มันคือคุณธรรม
ที่ประจำในหัวใจ
หาได้หวังรู้คุณ
หรือหวังบุญหวังกำไร
ทุกสิ่งที่ทำไป
หวังให้เจ้าสุขสบายฯ
๏ กฏธรรมชาติ
ให้สุขแก่ท่าน สุขนั้นได้เรา
ให้ทุกข์แก่เขา ทุกข์นั้นเผาตน
ให้บุญแก่ท่าน บุญนั้นเพิ่มพูน
ให้บาปแก่ท่าน บาปนั้นฝั่งใจ
ให้ร้ายแก่ใคร ร้ายนั้นดุจเงา
ให้มงคลแก่เขา เรานั้นโชคดี ฯ
๏ ศรัทธา
แม้ฝนฟ้า หลั่งมา เป็นห่าใหญ่
ศรัทธาไท ใจนี้ ไม่หนีถอย
เพื่อบุญญา บารมี ที่รอคอย
จึงรวมร้อย ศรัทธา สามัคคี ฯ
๏ มนุษย์
หากเผลอพลาดลื่นล้ม เซถลา
จงรีบลุกขึ้นมา อย่าช้า
พลาดผิดเรื่องธรรมดา อย่าเครียด
เป็นมนุษย์ต้องแกร่งกล้า อย่าได้อ่อนแอ ฯ
๏ คุกใจ
หลงในกาม ความใคร่ ใจมืดมิด
ย่อมสิ้นคิด สิ้นค่า หมดราศี
ตาบอดสนิท คิดหา แต่กาลี
จึงอัปรีย์ มีทุกข์ ติดคุกกาม
ลืมลูกหลาน บ้านช่อง มองไม่เห็น
เช้าจรดเย็น เป็นบ้า เข้าป่าหนาม
แม้ใครปราม ห้ามไว้ ไม่ฟังความ
เพราะฤทธิ์กาม ความฉลาด จึงขาดไป ฯ
๏ ธรรมดาโลก
เมื่อมีบุญ มีศักดิ์ คนรักทั่ว
กราบเกรงกลัว นั่งใกล้ ให้ใช้สอย
เมื่อหมดบุญ หมดศักดิ์ รักล่องลอย
ต่างเฝ้าคอย เหยียบย่ำ ทำเย็นชา
เมื่อมีเงิน มีทอง เป็นน้องพี่
ชั่วอัปรีย์ บอกดี มีวาสนา
เมื่อหมดเงิน หมดทอง จองศาลา
แถมนินทา ด่าส่ง ปลงได้ดีฯ
๏ น้ำใจ
สิ่งที่หยิบยื่นมอบให้
คือน้ำใจอันงดงาม
เกิดแต่จิตที่รู้ความ
จึงงดงามเหนือสิ่งใด
ทำเถิดอย่าได้อาย
มันคือความหมายแห่งหัวใจ
ยามเจ็บป่วยไม่มีใคร
แค่หนึ่งน้ำใจก็เพียงพอ
น้ำใจคือยาทิพย์
เพียงแค่จิบก็ชุมคอ
อาจลุกยืนฟืนสู้ต่อ
ไม่ต้องรอยาดีที่โฆษณา ฯ
๏ ตัวอุบาทว์
อวดเก่งเที่ยวเบ่งก้าง ระราน
โน่นนี่นั่นประจาน ผิดไซร้
ท่านติบอกท่านพาล ชอบยุ่ง
แบกทิฏฐิโง่ไว้ เก่งกล้าเกินครู
อวดรู้ดั่งกบน้อย ในกะลา
อ้างอวดเผยอัตตา รอบรู้
หมิ่นท่านขาดปัญญา ต้อยต่ำ
ตนผิดกลับเถียงสู้ มากรู้คัมภีร์
อวดดีว่าเลิศแล้ว ชั้นครู
ทุกสิ่งตนมีอยู่ พรั่งพร้อม
ยกหัวยกหางชู อ้างอวด
ไร้ซึ่งความอ่อนน้อม ปากกล้าท้าตี
โลกนี้ต่างเดือนร้อน วุ่นวาย
ต่างย่อยยับฉิบหาย ป่นปี้
นับวันยิ่งอันตราย เกิดโทษ
ตัวเอกอุบาทว์นี้ ท่านชี้ตัวการ ฯ
๏ ผู้ดีทางธรรม
เจียมเนื้อ เจียมตัว กลัวบาป กลัวกรรม
ทำดีไว้พร้อม อ่อนน้อม ถ่อมตน ฝึกฝนปัญญา
เข้าหาผู้รู้ อยู่ใกล้คนดี ใส่ใจหน้าที่
มีระเบียบวินัย คิดไกล ใฝ่รู้ เฝ้าดู เฝ้าเพียร ฯ
๏ ในที่สุด
ตื่นเต้นทำไมฤา
ทุกสิ่งคือภาพมายา
หาใช่สิ่งแปลกตา
ได้มาเดี๋ยวจืดจาง
เป็นเช่นนี้มานานนม
ต่างชื่นชมแทบวายวาง
ระริกรี้หาใช่ทาง
นิ่งบ้างน่าจะดี
ในที่สุดก็แค่นั้น
ตื่นเต้นกันเลิกเสียที
งมงายมาหลายปี
ของดีอยู่ที่ใจ ฯ
๏ โลกนี้
อยู่บนโลก ฉลาดรู้ เรื่องคู่โลก
มีทุกข์โศก มีสุข ทุกยุคสมัย
มีนินทา สรรเสริญ เรื่องเจริญใจ
มีเสื่อมไป ได้ดี มีจืดจาง
อย่าตีโพย ตีพาย วุ่นวายจิต
อย่าได้คิด ยกหู เที่ยวชูหาง
แบกตัวกู ของกู มิรู้วาง
ล้วนผิดทาง ผิดธรรม กรรมจนตาย ฯ
๏ ใจมนุษย์
โลกสอนว่า อย่าไว้ ใจมนุษย์
เซ่อบริสุทธิ์ เสียท่า หมดราศี
อย่าเผลอใจ หลงกล คนอัปรีย์
ดูให้ดี ก่อนไซร้ ไม่เปลืองตัว
จิตมนุษย์ ดีร้าย อย่าหมายวัด
โลกชี้ชัด มากชั้น รู้กันทั่ว
แค่คำหวาน เชิญชวน ล้วนน่ากลัว
แผนโฉดชั่ว ดูยาก ฝากเตือนใจ ฯ
๏ บทพิจารณาเพื่อความเจริญงอกงาม
แห่งบารมีธรรม ภูมิธรรม ภูมิปัญญา
พึงระลึกนึกคิด ทบทวน ใคร่ครวญ
พิจารณาด้วยปัญญาอันแยบคาย
เพื่อสอนใจตน ถามใจตนอยู่เสมอๆว่า
๑. เราได้เคยทำอะไรบ้าง
คิดอะไรบ้าง พูดอะไรบ้าง
เขียนอะไรบ้าง สนับสนุน ส่งเสริม
เติมเต็ม แสดงออกอะไรบ้าง ?
ที่เป็นบุญ เป็นกุศล ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขต่อโลก
ต่อแผ่นดิน ต่อสังคม ต่อพระศาสนา
ต่อเพื่อนมนุษย์ ต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายบ้างหรือไม่หนอ ฯ
๒. ขณะปัจจุบันวันนี้เรากำลังทำอะไรอยู่บ้าง
คิดอะไรอยู่บ้าง พูดอะไรอยู่บ้าง
เขียนอะไรอยู่บ้าง สนับสนุน ส่งเสริม เติมเต็ม
แสดงออกอะไรอยู่บ้าง ? ที่เป็นบุญ เป็นกุศล
ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขต่อโลก
ต่อแผ่นดิน ต่อสังคม ต่อพระศาสนา
ต่อเพื่อนมนุษย์ ต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายบ้างหรือไม่หนอ ฯ
๓. และในอนาคตกาลข้างหน้าที่จะมาถึง
เราคิดจะทำอะไรบ้าง จะพูดอะไรบ้าง
จะเขียนอะไรบ้าง จะสนับสนุน ส่งเสริม เติมเต็ม
แสดงออกอะไรบ้าง ? ที่เป็นบุญ เป็นกุศล
ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขต่อโลก
ต่อแผ่นดิน ต่อสังคม ต่อพระศาสนา ต่อเพื่อนมนุษย์
ต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายบ้างหรือไม่หนอฯ
๔. การกระทำของเราในสิ่งที่ทำลงไปแล้วนั้นก็ดี
ขณะทำอยู่ในปัจจุบันก็ดี หรือที่จะทำในอนาคตก็ดี
ประกอบแล้วด้วยภูมิธรรม คือ ปัญญา เมตตา กรุณา มุทิตา
อุเบกขา ขันติ วิริยะ สติ สมาธิ บริสุทธิ์
ปีติ ปัสสัทธิ ปราโมทย์หรือไม่หนอ ?
๕. การกระทำของเราในสิ่งที่ทำลงไปแล้วนั้นก็ดี
ขณะทำอยู่ในปัจจุบันก็ดี หรือที่จะทำในอนาคตก็ดี
มีสติสัมปชัญญะรู้เท่าทันกิเลส คืออัตตา
ตัณหา มานะ ทิฏฐิ โมหะ โลภะ โทสะ
มารยา สาไถย อิจฉา ริษยา เหล่านี้เจือปนหรือไม่หนอ ?
๖. การกระทำของเราในสิ่งที่ทำลงไปแล้วนั้นก็ดี
ขณะทำอยู่ในปัจจุบันก็ดี หรือที่จะทำในอนาคตก็ดี
เป็นไปเพื่อการเบียดเบียนตนเอง
หรือบุคคลอื่นให้เดือดร้อนในปัจจุบันนี้
หรือในภายหลังหรือไม่หนอ ?
๏ วัดใจ
การเข้าวัด เข้าวา ลืมตาเข้า
อย่ามัวเขลา เอาหน้า บ้าสรรเสริญ
หลงลูกยอ คอพับ ล้วนยับเยิน
อย่าหลงเพลิน หมดตัว มัวหมองใจ
ต้องตั้งจิต คิดใหม่ เปลี่ยนใจได้
ยังไม่สาย จนแย่ เกินแก้ไข
ต้องเข้าวัด เพื่อหมดทุกข์ ได้สุขใจ
จิตสว่างไสว เกิดปัญญา มาถูกทาง
๏————-๏
กิเลสหลอกค่ำเช้า เต้นตาม
หลงรูปเรือนร่างงาม แต่งแต้ม
เพลินในเกียรติกินกาม ชื่นชอบ
ต่างระริกรี้แย้ม อวดอ้างวาสนา
นัยตามืดบอดแล้ว ยากเห็น
สูดกลิ่นบูดเน่าเหม็น ห่อนรู้
สัจธรรมบอกเช้าเย็น หลับอยู่
เว้นแต่มุนีผู้ ตื่นรู้เข้าใจ
เฝ้าหลงใหลเคลิบเคลิ้ม โหยหา
ปรุงแต่งภาพมายา พอกไว้
กิเลสบอกราคา แห่งจิต
หลับอยู่รีบตื่นไซร้ ชักช้าหมดหวัง ฯ
๏ หน้าที่
บวชเป็นพระ สละโลก คือโชคสุด
ได้วิมุตติ หลุดพ้น เป็นผลใหญ่
กลับลืมคิด กิจสงฆ์ ต่างหลงไป
มัวติดใจ ไลน์เฟส สังเวชธรรม
กรรมศาสนา ว่าไหม หรือใครค้าน
ใช่ประจาน พาลผิด หรือคิดขำ
จงรีบตื่น ฝืนจิต มากกิจทำ
แค่เช้าค่ำ ทำวัตร ปฏิบัติเจริญ
ขอขมา ลาโทษ อย่าโกรธเกลียด
ใช่ส่อเสียด เกลียดหน้า ว่าให้เขิน
เห็นมากไป ใจห่วง จึงล่วงเกิน
หากหลงเดิน เพลินไป แก้ไขทันฯ
๏ บุญ
จิตรุมเร้าเร่าร้อน ดั่งไฟ
กลุ้มกลัดแสนเหนื่อยใจ หม่นไหม้
บุญย่อมช่วยแก้ไข ได้หมด
เว้นแต่ขาดบุญไซร้ หมดสิ้นหนทางฯ
๏————-๏
ศรัทธาจึงกราบไหว้ บูชา
ยอมทุ่มเทเวลา ช่วยไซร้
ใช่ขาดซึ่งปัญญา หลงเชื่อ
ต่างใคร่ครวญจึงให้ ช่วยค้ำศาสนา
จิตศรัทธาเชื่อแล้ว ลงมือ
ตัวเอกปัญญาถือ แนบไว้
เช้าค่ำคิดหารือ กับจิต
ต้องเร่งทำบุญให้ มากไว้สว่างไสว ฯ
๏————-๏
กตัญญูรู้ค่า ความดี
ที่ท่านต่างล้วนมี ฝากไว้
เมื่อตายดับเป็นผี สำนึก
ทำซึ่งบุญส่งให้ กราบไหว้บูชา ฯ
๏————-๏
คำนินทาว่าร้าย ใส่ความ
คือเรื่องดีเรื่องงาม ค่าล้ำ
ใช่ลมปากคนทราม จิตชั่ว
เป็นเครื่องเตือนตอกย้ำ วัดชี้จิตเรา ฯ
๏ บทพิจารณาเพื่อปล่อยวาง
อดีต คือ เหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้ว
เมื่อจิตหลงขุดคุ้ย รื้อฟื้น ปลุกให้ตื่น คืนชีพขึ้นมา
ก็จงรีบมีสติรู้สึกตัว
“ตื่น ๆ รู้ ๆ วาง ๆ
ไม่แน่ ๆ ไม่เอา ๆ ไม่อยาก ๆ ไม่เป็น ๆ”
รับรู้ความจริงว่า มันเป็นแค่ส่วนสัญญาขันธ์
คือ ความจำได้ หมายรู้ที่กำลังทำหน้าที่ของมัน
เป็นสิ่งที่ไม่แน่ เปลี่ยนแปร
เป็นไปทุกขณะตามกฏไตรลักษณ์หมดทั้งสิ้น
อนาคต คือ เหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้น
เมื่อจิตหลงปรุงแต่ง แต่งแต้ม
วาดหวัง วาดฝัน ฟุ้งซ่านไป
ก็จงรีบมีสติรู้สึกตัว
“ตื่น ๆ รู้ ๆ วาง ๆ
ไม่แน่ ๆ ไม่เอา ๆ ไม่อยาก ๆ ไม่เป็น ๆ”
รับรู้ความจริงว่า มันเป็นส่วนแห่งสังขารขันธ์
คือ ความคิดปรุงแต่งดีชั่ว
ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา
ที่กำลังทำหน้าที่ของมัน
เป็นสิ่งที่ไม่แน่ เปลี่ยนแปร เป็นไปทุกขณะ
ตามกฏไตรลักษณ์ทั้งหมดทั้งสิ้น
ปัจจุบัน คือ เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น
เมื่อจิตหลงไม่รู้เท่าทัน ก็จงรีบมีสติรู้ตัว
“ตื่น ๆ รู้ ๆ วาง ๆ
ไม่แน่ ๆ ไม่เอา ๆ ไม่อยาก ๆ ไม่เป็น ๆ”
รับรู้ความจริงว่า มันเป็นวิญญาณขันธ์
คือ การรับรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ในขณะที่เกิดผัสสะ การกระทบกับ
รูป รส กลิ่น เสียง ธรรมารมณ์
ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขาที่กำลังทำหน้าที่ของมัน
เป็นสิ่งที่ไม่แน่ เปลี่ยนแปร
เป็นไปทุกขณะตามกฏไตรลักษณ์ทั้งหมดทั้งสิ้น
ทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบันอาศัยรูปขันธ์ เป็นฐานทำงาน
มีเวทนาขันธ์ คอยเติมรส แต่งรส เปลี่ยนความรู้สึกไป
มีสุข มีทุกข์ มีเฉยๆก็จงรีบมีสติรู้ตัว
“ตื่น ๆ รู้ ๆ วาง ๆ
ไม่แน่ ๆ ไม่เอา ๆ ไม่อยาก ๆ ไม่เป็น ๆ”
รับรู้ความจริงว่า มันเป็นเวทนาขันธ์ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา
ที่กำลังทำหน้าที่ของมันเป็นสิ่งที่ไม่แน่ เปลี่ยนแปร เป็นไปทุกชณะ
ตามกฏไตรลักษณ์ทั้งหมดทั้งสิ้น เราไม่ได้เกิดมาเพื่อหลงสุข ติดสุข ยึดสุข
เราไม่ได้เกิดมาเพื่อหลงทุกข์ ติดทุกข์ ยึดทุกข์ เราเกิดมาเพื่อมีสติรู้สึกตัว
เพื่อความสว่างไสว สว่างไสว สว่างไสว เพื่อรู้ ตื่น เบิกบาน
เพื่อปล่อยละ ปล่อยวาง สะอาด สว่าง สงบ เพื่ออยู่เหนือสุข เหนือทุกข์ ฯ
“หมดเวลาสำหรับความทุกข์ ความสุขแล้ว”
๏บทสอนใจ สอนตน
พึงมีสติรู้สึกตัว แล้วสอนใจ สอนตนว่า
สิ่งที่เรายังไม่รู้ ไม่เข้าใจ ขาดความรู้
ขาดความสามารถ ขาดประสบการณ์ยังมีอยู่อีกมาก
เราไม่ควรอย่างยิ่งที่จะสำคัญตนว่า เราเป็นผู้รู้ดีแล้ว
พึงมีสติรู้สึกตัว แล้วสอนใจ สอนตนว่า
เรายังเป็นปุถุชน เป็นคนหนาด้วยกิเลส
ความโลภ ความโกรธ ความหลงยังมีอยู่มากในใจเรา
เราไม่ควรอย่างยิ่งที่จะสำคัญตนว่า เราเป็นผู้วิเศษแล้ว
พึงมีสติรู้สึกตัว แล้วสอนใจ สอนตนว่า
มีอยู่หรือไหมหนอ ที่เราเป็นต้นเหตุเป็นต้นปัญหาให้คนอื่นเดือดร้อน
เสื่อมเสีย เป็นบาปเป็นกรรม เป็นทุกข์
เราไม่ควรอย่างยิ่งที่จะสำคัญตนว่า เราเป็นคนดีแล้ว
พึงมีสติรู้สึกตัว แล้วสอนใจ สอนตนว่า
บุญกุศล และคุณธรรมความดี บารมีธรรมที่เป็นเหตุเป็นปัจจัย
แห่งความเจริญงอกงามในศีล สมาธิ ปัญญา มรรค ผล นิพพาน
เราได้ทำ ได้บำเพ็ญ ไว้ดีพอ ดีพร้อมแล้วหรือยัง
เราไม่ควรอย่างยิ่งที่จะสำคัญตนว่า เราเป็นผู้ประเสริฐแล้ว
พึงมีสติรู้สึกตัว แล้วสอนใจ สอนตนว่า
ความอิจฉาริษยา นินทาว่าร้าย พยาบาท ดูหมิ่นเหยียดหยาม
ความเห็นแก่ตน ดื้อด้าน อวดดี ถือดี ยังมีอยู่ในใจเรา ตัวเรามากน้อยแค่ไหน
เราไม่ควรอย่างยิ่งที่จะสำคัญตนว่า เราเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว
พึงมีสติรู้สึกตัว แล้วสอนใจ สอนตนว่า
สิ่งที่เป็นประโยชน์สุขต่อโลก ต่อสังคม ต่อพระศาสนา ต่อเพื่อนมนุษย์
ต่อครอบครัว เราได้ทำบ้างแล้วหรือยัง
เราไม่ควรอย่างยิ่งที่จะสำคัญตนว่า เราเป็นผู้เจริญแล้ว
พึงมีสติรู้สึกตัว แล้วสอนใจ สอนตนว่า
เรายังโง่อยู่มาก เรายังประมาทอยู่มาก เรายังหลงอยู่มาก
เราไม่ควรอย่างยิ่งที่จะสำคัญตนว่า เราเป็นผู้สมบูรณ์แล้ว ฯ
๏ คาถาสุขสงบ
ตื่นๆจากหลับเคลิบเคลิ้ม หลงใหล
รู้ๆเท่าทันจิตไหลไป เกี่ยวข้อง
วางๆทุกเรื่องจากใจ ติดยึด
ไม่แน่ๆทุกสิ่งต้อง เสื่อมสิ้นเปลี่ยนไป
ไม่เอาๆสลัดละทิ้ง ทุกสิ่ง
ไม่อยากๆหยุดเลิกวิ่ง ไขว่คว้า
ไม่เป็นๆนั่นนี่นิ่ง เฉยโล่ง
ใครใคร่สุขอย่าช้า ท่องไว้สมหวัง ฯ
๏ สอนคน สอนตน
สอนคนอื่น นั้นสอนได้ แสนง่ายนัก
ต่างประจักษ์ รู้แก่จิต มิตรสหาย
บอกสอนตน ยากเหลือทน ใช่ง่ายดาย
ใครสอนได้ สุดแสนเลิศ ประเสริฐเอย ฯ
๏————-๏
เก็บบุญไว้เพื่อพรุ่งนี้
สร้างบารมีเพื่องานใหญ่
พากเพียรกันต่อไป
เพื่อความสว่างไสวของศาสนา ฯ
๏ แตกต่าง
ภายนอกดูแล้วช่างยุ่งใจ
แต่ภายในกลับตื่นรู้สงบเย็น
ภายนอกดูแล้วช่างยากเข็ญ
แต่ภายในกลับเห็นเป็นธรรมดา ฯ
๏ แน่นอน
เห็นหน้ากันเมื่อเช้า สายตาย
สายรื่นเริงสุขสบาย บ่ายสิ้น
บ่ายนั่งเล่นพักกาย ค่ำดับ
บุญหมดต้องแดดิ้น จบไซร้ทุกราย ฯ